30 ปีแห่งการรอคอย
เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล
เปิดหัวข้อมาแบบนี้ ใครไม่ใช่แฟนบอล ใครไม่ใช่ “เด็กหงส์” อย่าเพิ่งเบือนหน้าหนี
อยากให้ลองเปิดใจกับกระแสฉบับนี้
เพราะการเดินทาง “กว่าจะเป็นแชมป์” มีอะไรให้เราชาว MEA เรียนรู้ได้เยอะ
เพราะ “องค์กร” ก็ไม่ต่างอะไรกับ “ทีมฟุตบอล”
3 ทศวรรษ ของการ “ลองผิดลองถูก”
ในยุค 1980 ลิเวอร์พูลเคยเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทีมหนึ่งในยุโรป มีแฟนบอลมากมายทั่วโลก คว้าแชมป์ลีกถึง 18 สมัยมากกว่าทีมใด ๆ ในเกาะอังกฤษ แต่เพราะการปรับตัวที่ล่าช้า ทำให้หลังจากนั้นพวกเขาจมดิ่งอยู่กลับความผิดหวังซ้ำ ๆ มาตลอด 30 ปี
ตอนที่ผู้บริหารชาวอเมริกันกลุ่ม Fenway Sports Group (FSG) เข้ามาบริหารสโมรสรแทนผู้บริหารกลุ่มเดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีการเปลี่ยนแปลงวิธีบริหารงานให้ทันสมัย ทั้งใช้ข้อมูลวิเคราะห์ก่อนซื้อตัวนักเตะ เน้นวิทยาศาสตร์การกีฬา โภชนาการ เน้นการสร้างทีมระยะยาวมากกว่าความหวือหวาช่วงสั้น ๆ
ทีมมีทิศทางดีขึ้น แต่ก็ยังดีไม่พอ ที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดคือการดึงตัว เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมระดับยอดฝีมือเข้ามาคุมทีมในปี 2015
คล็อปป์ อาจไม่ใช่โค้ชจอมแท็กติก วางแผนรับมือคู่ต่อสู้ได้ทุกกระบวนท่า แต่เขามีจิตวิทยาการบริหารทีมที่ดีมาก สามารถรวมใจนักเตะ สตาฟโค้ช และแฟนบอลให้มุ่งหน้าไปทางเดียวกัน กลายเป็นพลังสำคัญที่พาลิเวอร์พูลกลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งในรอบ 3 ทศวรรษ
กระแสฉบับนี้ ขอพาทุกคนย้อนกลับไปวิเคราะห์กุญแจแห่งความสำเร็จของทีมหงส์แดงยุคปัจจุบัน เพื่อดูว่าเราสามารถเรียนรู้อะไรที่นำมาปรับใช้กับตัวเราและองค์กรได้บ้าง
เพราะกว่าจะ “ท็อปฟอร์ม” ก็ “แทบฟุบ” อยู่เหมือนกัน
วัฏจักรความล้มเหลว
“ปีหน้าเอาใหม่...” เป็นคำที่แฟนบอลลิเวอร์พูลใช้ปลอบใจตัวเองมาจนชาชิน เพราะตั้งแต่ เคนนี่ ดัลกลิช นักเตะและผู้จัดการทีมที่เป็นตำนาน ลาทีมไปอย่างกะทันหันในปี 1991 หงส์แดงก็ไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดอีกเลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยคว้าได้ถึง 10 สมัยในรอบ 15 ฤดูกาลหลังสุด
แกรมซ์ ซุเนสส์ ผู้จัดการทีมที่ก้าวเข้ามา มั่นในตัวเองสูงมาก จึง “รื้อ” ระบบทีมเดิม ขายนักเตะฝีเท้าดีที่อายุมากออกไป แล้วกว้านซื้อนักเตะหนุ่มใหม่ ๆ เข้ามาแทน แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเกินไป ทำให้รากฐานทีมที่ดีอยู่แล้วพัง จากลุ้นแชมป์ตลอด หงส์แดงค่อย ๆ ร่วงลงมาอยู่อันดับ 6-8 ของตาราง
อีกมุมมองหนึ่ง ก็มีการวิเคราะห์ว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องเปลี่ยนแปลงทีมมาจากการจำกัดโควตานักเตะต่างชาติของอังกฤษ ให้แต่ละทีมมีนักเตะต่างชาติลงสนามในแต่ละนัดได้ไม่เกิน 5 คน ซึ่งตอนนั้นลิเวอร์พูลมีนักเตะต่างชาติมากมาย แกรมซูเนสส์จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทีมโดยปล่อยตัวนักเตะต่างชาติที่มีอายุมากแล้วออกไปจากทีม และซื้อตัวหรือดึงนักเตะเยาวชนของสโมสรที่มีสัญชาติอังกฤษมาแทน
นอกจากนี้ ยังมีอีกสาเหตุที่ทำให้ภาพรวมสโมสรฟุตบอลจากประเทศอังกฤษตกต่ำ เพราะ โศกนาฏกรรมเฮย์เซล ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผู้ชมฟุตบอลเสียชีวิต ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ระหว่างทีมลิเวอร์พูลกับทีมยูเวนตุส ในปี 1985 ที่สนามเฮย์เซล กรุงบรัซเซลส์ ประเทศเบลเยียม จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ลิเวอร์พูลถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 6 ปี เช่นเดียวกับทุกสโมสรในอังกฤษก็ถูกสั่งห้ามเข้าแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 5 ปี ทำให้สโมสรฟุตบอลจากอังกฤษทั้งหมดขาดประสบการณ์ในการไปเล่นบอลถ้วยยุโรป และขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ความจริงแล้ว ในอีกมุมหนึ่ง การเป็นผู้จัดการทีมของแกรม ซุเนสส์ ก็ไม่ได้แย่เสมอมา หากดูจากประวัติการทำทีม ก็พาทีมขึ้นชั้นได้แชมป์อยู่พอสมควร
แต่ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใด จะเห็นได้เลยว่า “การเปลี่ยนแปลง” ที่มาเร็วเกินไป ก็เป็นภัยได้ เปรียบได้ชัดกับการทำงานในองค์กร ในเมื่อเราทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงได้ การลดความเสี่ยง การบรรเทาความเสียหาย ที่เราทุกคนทำได้ นั่นคือ “การตั้งรับให้ดี”
นอกจากนี้ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในยุคต่อ ๆ มาอย่าง รอย อีแวนส์, เชราร์ อุลลิเยร์ หรือราฟาเอล เบนิเตซ แม้จะคว้าแชมป์ได้บ้างจากฟุตบอลถ้วยรายการต่าง ๆ แต่กับแชมป์ลีกสูงสุดที่ต้องขับเคี่ยวกันยาวนาน 10 เดือน พวกเขามักยืนระยะไม่ไหว สะดุดขาตัวเองปล่อยให้คู่แข่งแซงไปแย่งแชมป์อย่างเจ็บช้ำ
ตลอดช่วง 2 ทศวรรษดังกล่าว ลิเวอร์พูลเข้าใกล้แชมป์มากที่สุดเพียง 2 ครั้งเท่านั้น คือฤดูกาล 2001-2002 และ 2008-2009 แต่เจอปัญหาแบบเดียวกันคือแผ่วปลายไปเอง
มองกลับมาที่การทำงานของเรา “การตั้งรับให้ดี” นั่นคือ เราควรระลึกอยู่เสมอว่า ทุกอย่างไม่ใช่แค่ “กำลัง” จะเปลี่ยนไป แต่ทุกอย่าง “เปลี่ยนไปแล้ว” ... การปรับตัว ปรับเปลี่ยนให้ทันการณ์ ไม่ใช่แค่ “สิ่งที่ควรทำ” แต่มันคือ “สิ่งที่จำเป็น” และที่สำคัญไปกว่านั้น คือ อย่าทำแบบไฟไหม้ฟาง เมื่อเราจุดไฟในตัวได้แล้ว จงทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ เพราะนั่นอาจเป็นทางรอดเดียวของเราก็ได้
หากวิเคราะห์แบบลงลึกกันไปอีก ปัจจัยที่ทำให้หงส์แดงไปไม่ถึงฝันสักที หลัก ๆ น่าจะมาจาก 4 ส่วน ได้แก่
- ปรับตัวช้า และผิดทาง
การรื้อทีมของซุเนสส์ ไม่ต่างกับองค์กรที่มุ่งเปลี่ยนแปลงโดยไม่สนใจจุดแข็งและวัฒนธรรมดั้งเดิม พนักงานจึงไม่เข้าใจ ปรับตัวไม่ทัน และเมื่อเห็นแล้วว่าตัดสินใจผิดพลาด ควรระดมสมองแก้ไขทันที หากผู้บริหารรีบปลดซุเนสส์ก่อนที่ทีมจะเสียหายมาก บางทีลิเวอร์พูลอาจไม่ต้องทนรอแชมป์นานถึงขนาดนี้
นอกจากนี้รวมถึงการเปิดรับวิถีฟุตบอลสมัยใหม่ เช่น การใช้นักฟุตบอลเทคนิคสูงมาสร้างสรรค์เกม การใช้ความรู้วิทยาศาสตร์การกีฬา และโภชนาการ รวมถึงการขยายฐานแฟนบอลไปทั่วโลกเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ลิเวอร์พูลทำทั้งหมดนี้ช้ากว่าทีมชั้นนำอื่น ๆ เป็นบทเรียนให้เห็นว่า องค์กรจะก้าวหน้าได้ต้องพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และนำมาปรับใช้อยู่เสมอ หากช้าอาจโดนคู่แข่งแซงจนไม่เห็นฝุ่น
- พึ่งพานักฟุตบอลไม่กี่คน
จะเห็นได้ว่า ลิเวอร์พูลในแต่ละยุคเน้นพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะพรสวรรค์เป็นหลัก แต่ความจริงคือไม่มีใครฟอร์มดีได้ทุกวัน เมื่อคนเหล่านี้ฟอร์มตก บาดเจ็บหรือถูกประกบตาย ทีมจึงเล่นไม่ออก ส่งผลให้ผลงานไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้เมื่อมีทีมยักษ์ใหญ่มาซื้อนักฟุตบอลตัวหลักไป ผลงานของหงส์แดงมักจะเป๋ตามไปด้วย
หากดูทีมอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จในยุคนั้นอย่างแมนยูฯ หรืออาร์เซนอล จะเห็นว่ามีระบบทีมที่ดี นักเตะมีวินัย ช่วยเหลือกันมากกว่าพึ่งพรสวรรค์ของใครไม่กี่คน
ฟุตบอลคือการทำงานเป็นทีม เช่นเดียวกับการขับเคลื่อนองค์กร ควรมาจากการรวมพลังกันของทุกคนทุกฝ่าย หากพึ่งพาคนเก่งไม่กี่คน ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว
- การซื้อขายตัวผู้เล่นที่ผิดพลาด
หลักสำคัญคือรักษาคนเก่งไว้ และหาคนที่มีความสามารถเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง แต่ลิเวอร์พูลมักทำสิ่งที่ตรงข้ามเสมอ! แทนที่จะซื้อผู้เล่นเกรด A เพียงคนเดียวที่ยกระดับทีมได้ แต่หงส์แดงมักหว่านเงินไปซื้อนักเตะระดับเกรด B เกรด C มาเต็มไปหมด ตัวอย่างหนึ่งที่แฟนบอลไม่ลืมคือ ขายเฟร์นานโด ตอร์เรส ให้เชลซี แต่กลับไปซื้อ แอนดี คาร์โรลล์ ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองมากพอมาแทน ในราคาแพงเป็นสถิติสโมสร สุดท้ายก็เป็นการซื้อที่ล้มเหลว
แต่จากการวิเคราะห์ในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจพูดได้ว่าลิเวอร์พูลไม่ได้ต้องการขายเฟอร์นานโด ตอร์เรส แต่ในเดือนมกราคม 2011 ช่วงตลาดซื้อขายนักเตะฤดูหนาวเปิด ตอร์เรสต้องการย้ายจากลิเวอร์พูลไปเชลซี โดยแจ้งสโมสรขอย้ายทีมและแยกตัวไปซ้อมเดี่ยวไม่ยอมลงซ้อมกับเพื่อนร่วมทีม และสุดท้ายก็ได้ย้ายทีมในช่วงเวลาที่ตลาดนักเตะหน้าหนาวกำลังจะปิด ในราคา 50 ล้านปอนด์ ทำให้ลิเวอร์พูลมีความจำเป็นต้องรีบหานักเตะศูนย์หน้าหมายเลข 9 มาแทนที่ และได้ซื้อแอนดี้ แคร์โรล จาก นิวคาสเซิล มาในราคา 35 ล้านปอนด์ จากเหตุการณ์ครั้งนั้น The Kop ต่างพากันไม่พอใจและเกลียดเฟอร์นานโด ตอร์เรสเป็นอย่างมาก เพราะมาย้ายทีมในช่วงที่ตลาดซื้อขายนักเตะใกล้ปิดแล้ว ทำให้สโมสรแทบไม่มีเวลาที่จะหานักเตะใหม่มาแทน The Kop ถึงกับขนานนาม เฟอร์นานโด ตอร์เรส ว่าเป็น จูดาส (Judas) พวกทรยศเพราะเห็นแก่ค่าจ้างรางวัล
หากเปรียบเทียบกับองค์กร สิ่งสำคัญที่สุดคือ การใช้ทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ยึดหลัก Put the right man on the right job ดีกว่าการมีคนเยอะ ๆ แต่ไม่ตอบกับโจทย์งานที่ทำ สุดท้ายแล้วงานก็จะออกมาไม่ดีตามที่ใจต้องการอีกด้วย
- ขาดหัวใจที่แข็งแกร่ง
เมื่ออยู่ในภาวะที่กดดันมาก ๆ เช่น ช่วงโค้งสุดท้ายของการลุ้นแชมป์ หรือทำอันดับไปเล่นถ้วยยุโรป ทีมหงส์แดงมักจะออกอาการแพ้ภัยตัวเอง ทำแต้มหล่นเป็นประจำ เพราะไม่มีจิตใจที่เข้มแข็ง แน่นิ่งพอจะเอาชนะความกดดันได้ สิ่งนี้เปรียบกับความเชื่อมั่นในองค์กร หากเกิดวิกฤตแล้วทุกคนกลัว ไม่ให้กำลังใจกัน ไม่ช่วยกันแก้ปัญหา องค์กรก็ไปไม่รอด
ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยทำให้ลิเวอร์พูลวนอยู่ในวัฏจักรความล้มเหลวซ้ำ ๆ จนถูกแฟนทีมอื่นแซวว่า “สงสัยต้องรอจนหลานบวช” ถึงจะได้แชมป์ลีก
เมื่อสิ่งที่เป็นอยู่ยังไม่ดีพอ... ก็ต้อง “เปลี่ยนแปลง”
ลิเวอร์พูลตกต่ำถึงขีดสุด ในฤดูกาล 2010-2011 นักเตะตัวหลักบาดเจ็บ ผู้เล่นใหม่ก็ทำผลงานไม่ดี รอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีม ปรับจูนทีมอย่างไรก็ไม่ลงตัว ผลงานจึงดำดิ่งอยู่ในโซนท้ายตารางเสี่ยงตกชั้น ส่วนนอกสนาม สโมสรเป็นหนี้กว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เสี่ยงกับการล้มละลาย
จนกระทั่งกลุ่มทุนชาวอเมริกัน ในนาม Fenway Sports Group (FSG) ตัดสินใจเข้ามาซื้อสโมสร นำแนวคิดที่เรียกว่า ‘Moneyball’ มาใช้เลือกซื้อนักฟุตบอล เน้นวิเคราะห์โดยใช้สถิติเพื่อหาผู้เล่นคุณภาพดีราคาไม่แพง นอกจากนี้ยังยกระดับการบริหารทีมไปอีกขั้น ทั้งระบบฟิตเนส โภชนาการ การแพทย์ ศูนย์ฝึกซ้อม ตลอดจนหารายได้เข้ามาเพิ่มจากสปอนเซอร์ทั่วโลกลิเวอร์พูลจึงค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ
ความจริงพวกเขาควรได้แชมป์ลีกไปตั้งแต่ฤดูกาล 2012-2013 แล้ว หงส์แดงภายใต้การคุมทีมของแบรนดอน ร็อดเจอร์ส ที่มีวิธีการเล่นแบบใหม่ ๆ ทำแต้มนำเป็นจ่าฝูงและใกล้ความฝันมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความกดดันช่วงโค้งสุดท้าย ทำให้ทีมสะดุดอีกเช่นเคย ลิเวอร์พูลออกอาการเป๋ต่อเนื่อง บุกไปเสมอคริสตัล พาเลซ 3-3 ทั้ง ๆ ที่ยิงนำก่อนถึง 3-0 ทำให้แมนเชสเตอร์ซิตี้ทำคะแนนแซงไป 2 คะแนน และเหลือการแข่งขันอีกเพียง 1 นัด แม้นัดสุดท้ายของซีซั่น ลิเวอร์พูลจะชนะนิวคาสเซิล 2-1 แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับการคว้าแชมป์ เนื่องจากแมนฯ ซิตี้ก็ชนะเช่นกัน ทำให้คว้าแชมป์ซีซั่น 2013-2014 ไปครอง โดยมี 86 แต้ม ส่วนลิเวอร์พูลอกหักเป็นรองแชมป์มี 84 แต้ม
ความหวังของแฟนบอลเลือนลางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งทีมประกาศแต่งตั้ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันที่ขึ้นชื่อเรื่องหัวใจนักสู้ เขาเคยปลุกยักษ์หลับอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ให้กลับมาเป็นแชมป์ ทุกคนจึงเริ่มมีความหวังอีกครั้ง
“เราจะต้องเปลี่ยนคนที่สงสัย ให้เป็นคนที่เชื่อมั่น” คล็อปป์ให้สัมภาษณ์ในวันแรกของการทำทีม เพราะเชื่อว่าการมีศรัทธาของทุกฝ่ายจะพาทีมไปสู่ประสบความสำเร็จ เขาประกาศเป้าหมายด้วยว่าจะคว้าแชมป์อะไรก็ได้ภายใน 4 ปี
จากประเด็นนี้ มองให้ดี นี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของลิเวอร์พูล
เปรียบได้กับการทำงานของเรา
ณ ตอนนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่า การเปลี่ยนแปลงที่ FSG นำมาใช้กับสโมสร จะทำให้ “ไปต่อ” ได้หรือไม่
ที่รู้มีเพียง สิ่งที่เป็นอยู่มันไม่ดีพอ
เมื่อยังไม่ดีพอ... ก็ต้อง “เปลี่ยนแปลง”
และการเปลี่ยนแปลงแบบใดก็คงไม่ดีเท่า “เปลี่ยนแปลงไปด้วยกันแบบมีศรัทธา”
“ถ้าความสามารถเป็นรอง ก็ต้องวิ่งให้เยอะกว่า”
เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อย่างแรกคือทำให้ทุกคนเห็นเป้าหมายเดียวกัน ฟุตบอลของคล็อปป์ มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน เปรียบดังดนตรีเฮฟวีเมทัล หนักหน่วง รุนแรง โจมตีรวดเร็วดังสายฟ้าฟาด ทุกคนต้องช่วยกันวิ่งบีบจนคู่ต่อสู้เสียบอล ไม่มีการอ้อยอิ่งเด็ดขาด เขาบอกว่าถ้าความสามารถเป็นรอง ก็ต้องวิ่งให้เยอะกว่า
คล็อปป์เชื่อว่า ถ้าเดินไปในทางที่ถูกต้อง วันหนึ่งความสำเร็จจะมาเอง ดังนั้นอย่าหวั่นไหวกับเสียงคนอื่น
ในปีแรกที่คุมทีม ลิเวอร์พูลจบอันดับ 8 แม้ว่าจะได้เข้าชิงลีกคัพ และยูโรป้าลีก แต่ทำได้เพียงรองแชมป์ทั้ง 2 รายการ มีเสียงวิจารณ์ว่าคงเข้าอีหรอบเดิม
แต่คล็อปป์ไม่ได้สนใจมากนัก เขาเดินหน้าปรับแต่งทีม ขายผู้เล่นเดิมที่ไม่ใช่สไตล์ของเขาออกไป เช่น คริสติย็อง เบนเตเก้ ที่สูงใหญ่แต่เชื่องช้า มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่ไม่มีระเบียบวินัย และซื้อ ซาดิโอ มาเน่ ปีกความเร็วสูงที่ยิงประตูได้เฉียบขาดมาแทน ในฤดูกาลที่ 2 ลิเวอร์พูลยังไม่มีแชมป์ใด ๆ แต่สามารถทำอันดับ 4 กลับไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปได้สำเร็จ
ฤดูกาลที่ 3 คล็อปป์ได้ตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จากการแนะนำของฝ่ายวิเคราะห์ ปีกทีมชาติอียิปต์คนนี้ช่วยยกระดับทีมไปอีกระดับ ซาลาห์ ยิงประตูเป็นว่าเล่น ประสานงานกับ โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ กลายเป็น 3 แนวรุกที่ยากจะต้านทาน
แม้ว่าทีมจะเสียซูเปอร์สตาร์อย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ให้บาร์เซโลนาในช่วงกลางฤดูกาล แต่พวกเขาได้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังที่แข็งแกร่งมาแทน ทำให้ทีมทะลุเข้าไปถึงรอบชิงแชมเปียนส์ลีก ถ้วยที่ใหญ่ที่สุดของสโมสรยุโรป กับสโมสรเรอัล มาดริด
อาจด้วยประสบการณ์ ความสามารถที่เป็นรอง รวมทั้งความผิดพลาดของผู้รักษาประตู ลิเวอร์พูลทำได้แค่รองแชม์อีกครั้ง คล็อปป์ โดนตราหน้าว่านำทีมแพ้ในรอบชิงมากที่สุด ถึง 6 เกม
การพ่ายแพ้ครั้งนี้ ทำให้เขากลับมาปรับปรุงเกมรับ ทุ่มซื้อ อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูชั้นแนวหน้าของโลก ฟาบินโย่ กองกลางตัวรับชาวบราซิล พร้อมทั้งรักษาขุมกำลังตัวหลักของทีมเอาไว้ ฤดูกาลที่ 4 ของคล็อปป์กับลิเวอร์พูล พวกเขานำเป็นจ่าฝูงตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลโดยไม่แพ้ใครเลย ทำให้ความหวังจะเป็นแชมป์ลีกกลับมาอีกครั้ง
จากจุดนี้ เห็นได้ชัดเลยว่า ในการทำงาน “คนที่ไม่เคยผิด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย”
การทำผิด คือ ขั้นตอนแห่งการเรียนรู้
หากมองแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน การทำผิดนั้นมีข้อดีมหาศาล เพราะเมื่อทำผิด แปลได้เลยว่าที่เราทำไปนั้น ไม่ใช่แนวทางที่เราควรปฏิบัติต่อไปแล้ว
After Action Review (AAR) จึงจำเป็น และควรยึดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกับทุกงาน
เพราะการ “ทำไป ปรับไป” คือ หัวใจของการพัฒนา
You’ll Never Walk Alone
ความผิดหวังเปลี่ยนมาเป็นพลังในการไล่ล่าถ้วยแชมเปียนลีกส์ เมื่อรู้จุดอ่อนของตัวเอง และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเล่น พวกเขาพลิกกลับมาชนะบาร์เซโลนาถึง 4-0 หลังแพ้มาก่อน 3-0 ในเกมเยือน ก่อนจะเข้ารอบชิงไปเอาชนะท็อตแนม ฮอตสเปอร์ คว้าแชมป์เจ้ายุโรปสำเร็จ หลังจากอกหักในปีก่อน
นับเป็นถ้วยแรกของคล็อปป์กับลิเวอร์พูล ตามที่เขาสัญญาว่าจะคว้าถ้วยให้ได้ภายใน 4 ปี
ในฤดูกาลที่ผ่านมา คล็อปป์ รักษาผู้เล่นตัวหลักไว้ได้ครบ ทีมไล่ล่าเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ด้วยความหิวกระหาย ตั้งแต่ยูฟ่าซุเปอร์คัพ ถ้วยสโมสรโลก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ในลีกพวกเขาเก็บชัยชนะรวด โดยพลาดท่าแพ้แค่เกมเดียว และเสมออีก 2 เกม ทำให้นำโด่งเป็นจ่าฝูง มีคะแนนนำแมนฯ ซิตี้ที่ตามมากว่า 20 แต้ม
แม้ว่าการแข่งขันจะหยุดชะงักไปร่วม 3 เดือน จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อกลับมาแข่งใหม่อีกเพียง 2 นัด พวกเขาก็ทำแต้มขาด การันตีแชมป์ลีกแน่นอนแล้ว
นับเป็นแชมป์ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และทำให้การรอคอยอันยาวนาน 30 ปีของแฟนหงส์แดงทั่วโลก สิ้นสุดลงเสียที
หากวิเคราะห์กลยุทธ์ความสำเร็จของทีมลิเวอร์พูลยุคใหม่ เพื่อนำมาปรับใช้กับองค์กร เราจะพบว่ามีหลักการสำคัญ ดังนี้
- ผู้นำที่เป็นศูนย์รวมใจ
เจอร์เก้น คล็อปป์ คือผู้นำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เขารวมใจทุกคนไว้ด้วยกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักเตะ สตาฟโค้ช จบเกมส์คล็อปป์จะเข้าไปสวมกอดผู้เล่นทุกคน เมื่อใครเล่นผิดพลาดเขาจะไม่ตำหนิออกสื่อ ในทางกลับกันถ้าฟอร์มดีเขาก็จะชื่นชมต่อหน้าสาธารณะ
ด้วยความจริงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง สิ่งนี้ทำให้ลูกทีมรัก และพร้อมจะทุ่มเทเล่นอย่างถวายชีวิตเพื่อเขา ซึ่งต่างกับผู้จัดการทีมคนที่แล้ว ๆ มา
นอกจากนี้คล็อปป์ยังถ่ายทอดดีเอ็นเอของผู้ชนะให้นักเตะ เห็นได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะฤดูกาลล่าสุด แม้ทีมเล่นไม่ดีแต่ต้องชนะไว้ก่อน สู้จนกว่าจะได้ยินเสียงนกหวีดสุดท้าย เขาเองก็ยืนกระตุ้นลูกทีมอยู่ข้างสนามจนวินาทีสุดท้าย ทำให้ลิเวอร์พูลฤดูกาลนี้โกงความตาย พลิกกลับมาชนะได้บ่อยครั้ง
หากเปรียบกับการบริหารงานองค์กร ผู้นำที่ให้ใจกับลูกน้อง มีความจริงใจ ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ย่อมได้รับความเคารพและศรัทธา เมื่อทำงานอะไรก็สำเร็จได้ไม่ยาก
- มีความเชื่อมั่น ก้าวไปด้วยกัน
วันแรกสุดเมื่อคล็อปป์เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม เขายืนยันว่าสิ่งที่ต้องการมากที่สุด ไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือความเชื่อมั่น ถ้าทุกคนเชื่อมั่นในทีม ลุยไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน ต่อให้มีอุปสรรค ล้มเหลวบ้าง แต่ท้ายที่สุดก็จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่
โชคดีที่ลิเวอร์พูลมีแฟนบอลที่พร้อมจะหนุนหลัง วลีที่ว่า You’ll Never Walk Alone เป็นมากกว่าเพลงประจำสโมสร แต่เหมือนคำขวัญทำให้ทุกคนไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามตกต่ำ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ในนาทีท้ายของเกมจะได้ยินเสียงเพลงนี้กึกก้องไปทั่วสนามแอนฟิลด์
ในช่วงแรกแฟนบอลเคยเสียงเงียบ หรือเดินออกจากสนามตั้งแต่เกมยังไม่จบ คล็อปป์ต้องเตือนสติว่านักเตะต้องการเสียงเชียร์กระตุ้น และไม่ควรยอมแพ้ถ้ายังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย หลังจากนั้นแฟนบอลจึงกลับมาเชียร์กันสุดเสียงทุกนาที จนแอนฟิลด์มีบรรยากาศที่ข่มขวัญคู่ต่อสู้ อยู่ในระดับต้น ๆ ของยุโรป
ความเชื่อมั่นนั้นเองทำให้ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ อย่างตอนที่พลิกกลับมาชนะบาร์เซโลน่า 4-0 นักเตะตัวหลักบาดเจ็บหลายคน คล็อปป์บอกคนที่เหลือว่า “ฉันรู้ว่าเป็นงานยาก แต่เพราะเป็นพวกนาย เราจะทำได้” เมื่อประกอบกับเสียงเชียร์สุดใจของแฟนบอล ลิเวอร์พูลก็ทำได้สำเร็จ รวมถึงการที่พลาดแชมป์หลายครั้ง แต่พวกเขาไม่เสียศรัทธา จึงกลับมาคว้าแชมป์ลีกจนได้
เช่นเดียวกัน ถ้าเราทุกคนรักและเชื่อมั่นในองค์กร สนับสนุนและก้าวไปในทิศทางเดียวกัน ต่อให้เผชิญความยากลำบากเพียงใดก็ไม่คิดจะหันหลังหนี พร้อมกับยืนหยัดสร้างสิ่งดี ๆ ท้ายที่สุดแล้ว ในวันที่องค์กรไปถึงเป้าหมาย เราจะภูมิใจกับความสำเร็จนั้น
- ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
คล็อปป์เป็นคนที่เรียนรู้อยู่เสมอ และพร้อมปรับปรุงให้ดีขึ้น ถ้ารู้ว่าอะไรพลาด เขาจะเปลี่ยนทันที ตัวอย่างเช่น การไล่วิ่งบีบกดดันคู่แข่งอย่างบ้าระห่ำ (Gegenpressing) จากเดิมที่ทำตลอดทั้งเกม แต่ทำให้นักเตะล้า บาดเจ็บง่าย เขาก็ปรับมาใช้ในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
จากที่แนวรับเสียประตูง่าย ผู้รักษาประตูทำพลาดบ่อยครั้ง เขาก็ตัดสินใจทุ่มทุนซื้อกองหลังและผู้รักษาประตูระดับโลกเข้ามา หลังจากนั้นหงส์แดงก็ติดปีกบินสูง
หรือทีมงานวิเคราะห์พบว่าทีมเสียประตูจากลูกทุ่มบ่อย เมื่อเขาได้พบกับโค้ชที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านลูกทุ่ม ก็รีบติดต่อให้มาร่วมงานทันที ทำให้พลิกจากเสียประโยชน์มาได้ประโยชน์จากลูกทุ่มแทน
ข้อนี้ตรงกับค่านิยมองค์กรของ MEA อยู่แล้ว คือ Agility การปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันยุคทันสมัย พยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ในยุคปัจจุบันที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากยังยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ ไม่ปรับตัว คิดว่าของเดิมดีอยู่แล้วแบบลิเวอร์พูลยุคเก่า สุดท้ายอาจถูกคู่แข่งแซง
- ทำงานเป็นทีม
หนึ่งในวัฏจักรความล้มเหลวของหงส์แดงที่คล็อปป์เข้ามาแก้ปัญหา เดิมทีมค่อนข้างพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของ คูตินโญ่ ที่ยิงประตูมหัศจรรย์ได้บ่อย ๆ แต่เมื่อนักเตะบราซิลอำลาทีมไป คล็อปป์พยายามสร้างทีมใหม่ที่กระจายความสำคัญให้ทุก ๆ คน เล่นเป็นทีมช่วยเหลือกัน จะเห็นว่าทีมสามารถทำประตูได้จากนักเตะตัวหลักเกือบครบทุกคน จากแต่เดิมที่ฝากความหวังไว้กับผู้เล่นไม่กี่คน
ขณะเดียวกัน คล็อปป์ ก็มีทีมงานช่วยเหลือ ทั้งผู้ช่วยผู้จัดการทีม โค้ชฟิตเนส นักโภชนาการ ฯลฯ เขามักกล่าวเสมอว่า ทีมมาถึงจุดนี้ได้เพราะความร่วมแรงร่วมใจไม่ใช่เพราะตนคนเดียว
ข้างต้นคือการทำงานแบบสอดประสาน หรือ Harmonization หนึ่งในคุณค่าของ MEA องค์กรของเรามีหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายมีวิธีการทำงานแตกต่างกัน แต่สำคัญเท่ากัน ไม่มีฝ่ายไหนเหนือกว่าฝ่ายไหน ดังนั้นต้องให้ความเคารพและหาทางทำงานด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยยึดเป้าหมายเดียวกันคือประโยชน์ขององค์กร เมื่อนั้นเราจะเติบโตอย่างยั่งยืน
- สร้างสรรค์สิ่งใหม่
เกมฟุตบอล เป็นโลกที่ต้องสรรหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะถ้ามัวแต่ยึดแนวทางเดิม คู่ต่อสู้ก็จะหาทางรับมือได้ คล็อปป์พยายามทดลองวิธีการเล่นใหม่ ๆ ให้กับทีม หนึ่งในนั้นคือวิธีการใช้กองหน้าตัวหลอก (False 9) ซึ่งไม่ค่อยมีใครใช้ในอังกฤษ โดยให้กองหน้าลงมารับบอลต่ำเพื่อดึงกองหลังที่ประกบให้ตามมาด้วย เปิดช่องว่างให้ปีกทั้งสองข้างเข้าจู่โจม หรือการโยนบอลข้ามฝั่งไปมาอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้คู่ต่อสู้ที่พากันไปตั้งรับแน่นหนาสับสน เป็นต้น
การทำงานในองค์กรก็เช่นกัน ค่านิยมเรื่อง New idea ความคิดใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การแก้ปัญหา หรือพัฒนางานให้ดีขึ้นนับเป็นสิ่งจำเป็น และจะดียิ่งหากไอเดียเหล่านี้มาจากพนักงานที่ใกล้ชิดกับงานตรงหน้ามากกว่าผู้บริหาร ยิ่งมีไอเดียมากเท่าไร เรายิ่งนำหน้าคู่แข่งไปไกล
- ข้อมูลคือสิ่งสำคัญ
ตั้งแต่ FSG เข้ามาบริหารทีม พวกเขานำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะซื้อนักเตะ ทำให้ค้นพบซาลาห์และคูตินโญ่ หรือคัดสรรผู้จัดการทีมจนเห็นว่าคล็อปป์เหมาะสมที่สุด ทำให้การซื้อตัวที่ผิดพลาดน้อยลง
การทำงานใน MEA ก็เช่นกัน เข้าหลัก Customer Focus ของค่านิยม CHANGE นั่นคือ การนำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์ย่อมแม่นยำกว่าใช้สัญชาตญาณอย่างเดียว ดังนั้นแต่ละหน่วยงาน (จะว่าไป ต้องมองลงไปถึงระดับกอง หรือระดับแผนกด้วยซ้ำ) ไม่ควรละเลยการเก็บข้อมูล “ลูกค้า” ของเรา มองให้ออกว่า “ลูกค้า” เราคือใคร ต้องการอะไร หากมองภาพใหญ่ ก็คือการใช้ประโยชน์จาก “ฐานข้อมูล” ทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน หรือจะให้ดีกว่านั้น คือเพื่อเพิ่มโอกาสให้เกิดบริการใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับ MEA
- สร้างคนเก่ง ให้เก่งยิ่งกว่า
คล็อปป์เป็นผู้จัดการทีม ที่รีดศักยภาพของนักเตะออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ เขาเชื่อในการพัฒนาฝีเท้า และพยายามให้โอกาส นักเตะหลาย ๆ คนจากทีมเยาวชน หรือทีมตกชั้น ที่คนอื่นมองว่าเป็นเกรด B หรือ C เขาก็ฝึกฝนลับคมให้เป็นนักเตะชั้นนำของโลกในตำแหน่งนั้น ๆ
ถ้ามองกันดี ๆ ในแง่ขององค์กรอย่าง MEA อาจเปรียบเทียบกับการ “เทรนนิ่ง” นั่นคือการลับอาวุธ พัฒนาความสามารถของสิ่งที่พนักงานแต่ละคนมีอยู่ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ทักษะไหนที่ยังเป็น “เกรด B หรือ C” การฝึกอบรมในรูปแบบต่าง ๆ จะพัฒนาให้ทักษะนั้น ๆ ขึ้นมาเป็น “เกรด A” ได้
สำหรับแฟนลิเวอร์พูลทุกคน ตอนนี้คือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองในวันที่ฝันเป็นจริง หลังจากต้องเจ็บช้ำมายาวนานถึง 30 ปี โดนทั้งคำแซวคำล้อมานับไม่ถ้วน แต่อย่าลืมฉลองกันแบบมีระยะ ห่ า ง เพื่อความปลอดภัยด้วยจนกว่าโควิด-19 จะหมดไป
กว่าจะมาถึงจุดนี้... ล้มแล้วลุกมาไม่รู้กี่ครั้ง
ปรับและเปลี่ยนมาไม่รู้เท่าไร
แต่สิ่งที่ลิเวอร์พูลมีไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ ความเชื่อมั่นและศรัทธาของ “แฟนหงส์” ที่พร้อมจะอยู่กับ “ทีม” เสมอ ... พยุงกันไป จนกว่าจะไปถึง!
#ทีมMEA หากล้ม ช่วยกันพยุงให้ลุก และเมื่อสุข เราจะสุขไปด้วยกัน
หากไม่เชื่อ ถาม “เด็กหงส์” ที่อยู่ข้าง ๆ คุณก็ได้ ว่า ณ ตอนนี้ หัวใจของเขาเหล่านั้น “พองโต” ขนาดไหน
ข้อมูลประกอบการเขียน
-https://thestandard.co/liverpool-19th-champion-30-years-of-waiting/
-https://thestandard.co/30-years-of-liverpool-for-champion/
-https://thestandard.co/jurgen-klopp-liverpool-2/
-https://thestandard.co/podcast/thesecretsauce260/
-https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=268084304622590&id=108440997253589&sfnsn=mo
-https://www.facebook.com/jingjungfootball/posts/2552911114924123?__tn__=K-R
-https://www.prachachat.net/d-life/news-431538
----------------------------
อ่าน "กระแส" บทความอื่น ๆ
14 จะรอวันนั้น... หรือจะเริ่มวันนี้
13 บทเรียน “น้ำประปาเค็ม” MEA พร้อมหรือยัง เตรียมรับมือ “ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน”
12 COVID-19 “การรับผิดชอบต่อส่วนรวม” มีเดิมพันที่สูงกว่าเดิม
11 ฝ่าปีสุดโหด 2020 เตรียมรับ Trend โลกปี 2021
10 โจ ไบเดน: สุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้ง กับคำพูดที่ชวนให้คน MEA หันมามอง (เป้าหมาย) ตัวเอง
09 ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต
08 ตกผลึกเหตุการณ์โรงเรียนชื่อดัง คน MEA ได้เรียนรู้อะไร
07 ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้... อยู่ที่ว่าใครรับมือได้ดีกว่ากัน บทเรียนล้ำค่าจากระบบ Garmin ล่ม
06 30 ปีแห่งการรอคอย เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล
05 เชื่อหรือไม่? ชีวิตดิจิทัล เริ่มต้นที่ใจ
04 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 2)
03 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 1)
02 รัฐวิสาหกิจมั่นคงจริงหรือ? รวบรวมบทวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้ ถอดบทเรียนจากกรณีการบินไทย
01 MEA เจิดจ้า ท้าชนพี่ ๆ มาสคอตระดับโลก