ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต

 

จากเหตุการณ์ท่อก๊าซ NGV ของบริษัท ปตท. ระเบิด ที่ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 นอกเหนือจากภาพอุบัติภัยที่ดูรุนแรงน่ากลัว ภาพผู้คนและเด็กนักเรียนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นที่เผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ นอกเหนือจากความสนใจใคร่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่เกิดขึ้น

 

พวกเราชาว MEA เรียนรู้อะไรจากการรับมือหลังเกิดวิกฤตของ ปตท. ได้บ้าง?

เพราะองค์กรทั้งสองแห่งต่างเป็นผู้บริการโครงสร้างพื้นฐานแก่ประชาชนเหมือนกัน

 

ปตท. จัดการวิกฤตนี้อย่างไร บรรเทาความรุนแรงให้ดีขึ้นได้อย่างไร

กระแสฉบับนี้ ขอพาทุกคนศึกษาไปพร้อม ๆ กัน

 

เริ่มตั้งแต่ เกิดอะไรขึ้น และ ปตท. บริหารจัดการอย่างไรกับเหตุการณ์วิกฤตดังกล่าว

 

วันที่ 22 ตุลาคม 2563 เวลาประมาณ 12.00 น. -- เกิดเหตุระเบิดขึ้น บริเวณใกล้โรงเรียนวัดเปร็งราษฎร์บำรุง
ต.เปร็ง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ จากภาพกล้องหน้ารถใกล้เหตุการณ์ เห็นภาพเปลวไฟพุ่งขึ้นฟ้าขนาดใหญ่ กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้บ้านเรือนบริเวณรอบเสียหายอย่างรุนแรง เด็กนักเรียนต้องวิ่งหนีกันอลหม่าน ภาพความน่ากลัวนี้กลายเป็นกระแสข่าวอย่างรวดเร็ว

 

 

ไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ ปตท. ออกแถลงการณ์ทันที และหลังจากนั้นก็ออกแถลงการณ์และให้ข้อมูลเป็นระยะ ๆ

 

ในวันเดียวกันนั้นเอง – ผู้อำนวยการการไฟฟ้านครหลวงเขตบางพลี ได้ประสาน ปตท. นำทีมวิศวกร ผู้ตรวจ และพนักงานช่าง ลงพื้นที่อย่างไม่รอช้า เพื่อตรวจสอบความเสียหายและเร่งดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลับมามีไฟฟ้าใช้ให้เร็วที่สุด ในขณะเดียวกัน ปตท. ได้จัดตั้งศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน และเร่งแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่ เข้าพื้นที่เพื่อระงับเหตุ และดำเนินการตัดแยกระบบบริเวณช่วงท่อดังกล่าว แจ้งลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทราบ นอกจากนี้ได้ประสานงานทีมดับเพลิงในพื้นที่เพื่อร่วมระงับเหตุ และร่วมกับจังหวัดสมุทรปราการ จัดตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ในพื้นที่วัดเปร็งราษฎร์บำรุง เพื่อสนับสนุนอาหาร น้ำดื่ม และที่พักชั่วคราวในระยะเร่งด่วน บรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ และอำนวยความสะดวกแก่ทีมปฏิบัติงาน

 

นอกจากนี้ยังได้ตรวจสอบว่ามีผู้บาดเจ็บ 28 ราย และผู้เสียชีวิต 3 ราย ซึ่ง ปตท. ได้ร่วมกับหน่วยกู้ภัยในพื้นที่เร่งนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ พร้อมแสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย และประกาศว่าพร้อมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นและเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างดีที่สุด

ด้านผลกระทบกับลูกค้าก๊าซ ปตท. ได้ดำเนินการจ่ายก๊าซย้อนให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม บริเวณนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และนิคมอุตสาหกรรมเอเชียสุวรรณภูมิ รวมทั้ง ปตท. ได้ประสานกับ กฟผ. ในการจ่ายก๊าซเพิ่มเติมให้แก่โรงไฟฟ้าในพื้นที่อื่น เพื่อให้การผลิตไฟฟ้ามีความต่อเนื่อง รวมถึงได้เผยแพร่บทความเรื่อง “มาตรฐานการดูแลรักษาท่อส่งก๊าซธรรมชาติของ ปตท.” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

 

วันรุ่งขึ้น (วันที่ 23 ตุลาคม 2563) -- ผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. ลงพื้นที่ เยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 โดยประกาศจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล พร้อมจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เสียชีวิตคนละ 5 ล้านบาท ผู้ที่มีอาการสาหัสจะจ่ายชดเชยคนละ 500,000 บาท ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาในโรงพยาบาล ชดเชยคนละ 200,000 บาท ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บและกลับบ้านแล้ว ชดเชยคนละ 50,000 บาท สำหรับการชดเชยบ้านเรือนและทรัพย์สินที่เกิดความเสียหาย อยู่ระหว่างประเมินมูลค่าและจะบรรเทาผลกระทบให้ดีที่สุดโดยเร็ว รวมถึงพร้อมสนับสนุนการซ่อมแซมบ้านเรือนให้กับผู้ได้รับผลกระทบ

 

 

วันที่ 24 ตุลาคม 2563 – MEA ประสานงานกับ ปตท. ลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยเพิ่มเติม โดยนายจาตุรงค์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการธุรกิจและบริการ ได้นำทีมลงสำรวจอุปกรณ์ไฟฟ้า ทั้งส่วนสายส่ง และตามอาคารของผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความมั่นใจก่อนจ่ายกระแสไฟฟ้าคืนตามปกติ

 

วันที่ 25 ตุลาคม 2563 -- ปตท. เปิดเผยมาตรการด้านความปลอดภัยของระบบท่อส่งก๊าซ โดยยืนยันว่า ปตท. ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในการบริหารจัดการท่อส่งก๊าซอย่างเคร่งครัดตลอดมา โดยปัจจุบัน ปตท. มีการยกระดับการตรวจสอบและเฝ้าระวังให้สูงขึ้นกว่ามาตรฐาน โดยเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนตรวจสอบแนวท่อส่งก๊าซเป็น 2 เท่า สำหรับการตรวจสอบหาสาเหตุ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ได้มีการส่งชิ้นส่วนท่อส่งก๊าซ และตัวอย่างดินให้ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) เพื่อวิเคราะห์ความเสียหาย

 

นอกจากนี้ ยังมีพนักงานและจิตอาสาจาก ปตท. ร่วมฟื้นฟูพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบ ช่วยสำรวจซ่อมแซมระบบไฟฟ้า ทำความสะอาด รวมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่โรงเรียนเปร็งวิสุทธาธิบดีและสถานีตารวจภูธรเปร็ง และร่วมลงพื้นที่เพื่อสำรวจผู้ได้รับผลกระทบ

 

คำถามคือ... MEA เรียนรู้อะไรจาก ปตท. ได้บ้าง

 

 

สิ่งที่ชัดเจนที่สุด คงไม่พ้น ความเร็ว แค่เพียงเย็นของวันที่เกิดเหตุ ปตท. ก็เข้าไปตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือประชาชนแล้ว ทำให้คนที่เดือดร้อน ญาติของคนที่บาดเจ็บ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประสบเหตุได้รู้ว่า มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน (ปตท.) อยู่เคียงข้างเพื่อจะรับเรื่องและช่วยเหลือเขาอยู่ตลอดเวลา

 

และเพียง 1 วันหลังเกิดเหตุ ก็สามารถประกาศตัวเลขการเยียวยาได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ทำให้ผู้เสียหายรับรู้ได้ถึงการไม่ถูกทอดทิ้ง ในวันที่สภาพจิตใจน่าจะย่ำแย่ที่สุด โดยที่ไม่ต้องรอผลตรวจสอบสาเหตุเลยว่าเป็นความผิดพลาดของ ปตท. หรือไม่

 

นอกจากผู้ได้รับความเสียหาย ปตท. ยังประสานงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เช่น คู่ค้าอย่างนิคมอุตสาหกรรม กฟผ. รวมถึง MEA เอง ในการเข้าพื้นที่ตรวจสอบอุปกรณ์และระบบต่าง ๆ ให้กลับมาดำเนินการและใช้ในการทำงานของนิคมอุตสาหกรรม และในชีวิตประจำวันของประชาชนได้โดยเร็ว

 

ความเร็วนี้ ยังรวมไปถึงความเร็วในการสื่อสารด้วย ปตท. ออกแถลงการณ์ฉบับต่าง ๆ ที่ชัดเจน เห็นขั้นตอนในการทำงาน ทำให้กระแสข่าวที่ออกไปไม่แตกตื่นเกินไป และที่สำคัญ ไม่ไร้ทิศทางจนทำให้เกิดกระแสข่าวลือในสังคม

 

ความเร็วนี่เองที่เป็นหัวใจ ลองจินตนาการว่าหากเกิดเหตุแล้ว ยังไม่มีใครออกมาบอกอะไร ชาวบ้านที่เสียหายไม่รู้ว่าจะได้รับการเยียวยาอย่างไร ต้องติดต่อกับใคร คู่ค้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความเสียหายระลอกสองสามสี่ห้าเหล่านี้ อาจจะเกิดข่าวลือจนเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงองค์กรมากกว่าตัวอุบัติเหตุเสียด้วยซ้ำ

 

กระแสสังคมจากการตรวจสอบผ่านเครื่องมือ Social listening ที่อ่านกระแสความเห็นบนสื่อสังคมออนไลน์อย่าง ZocialEye ยังรายงานว่าความเห็นบนโลกออนไลน์เป็นไปในทางบวก 22.26% ทางลบ 13.13% ซึ่งความเร็วในการตอบสนองนี่เอง ที่น่าจะช่วยทำให้เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นเรื่องลบ กลายเป็นความเห็นทางบวกได้

 

สิ่งที่น่าศึกษาต่อไป คือ แล้วทำไมถึงเร็วได้ขนาดนี้?

และหากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะคล้าย ๆ กัน...

...เราจะทำอย่างไรให้เร็วได้แบบนี้

 

 

เชื่อว่าเป็นเพราะ ปตท. น่าจะต้องมีการเตรียมพร้อมและมีคู่มือหรือแผนปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอนและอย่างชัดเจนว่าเมื่อเกิดเหตุลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ต้องปฎิบัติอย่างไร ใครทำอะไรบ้างในภาวะวิกฤตต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ในวันที่เกิดวิกฤต ผู้บริหารทุกคน และ พนักงานทุกคน มีแนวทางที่ชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้าง

 

จะเห็นได้ว่าการรับมือของ ปตท. กระจายไปในทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ประชาชนผู้เสียหาย มีการเข้าหาอย่างรวดเร็ว มีการประสานงานกับหน่วยงานรัฐ การส่งข่าว และปรับการให้บริการกับคู่ค้า แม้กระทั่งการเผยแพร่ข่าวสาธารณะในทางที่เป็นประโยชน์กับสถานการณ์ เรียกได้ว่าทุกฝ่ายช่วยกันรับมืออย่างรวดเร็ว ตามหน้าที่ของตัวเอง นอกจากนี้ คนในองค์กรมีจิตอาสา ร่วมกันรับผิดชอบคนละไม้ละมือตามงานที่แต่ละส่วนงานถนัด ไม่ว่าจะเป็นงานตรวจสอบ ช่วยฟื้นฟูจิตใจผู้ประสบภัย ปรับภูมิทัศน์ในส่วนที่เสียหายให้กับชุมชน อย่างแข็งขันอีกด้วย

 

การมีแผนที่ชัด และการรู้หน้าที่บทบาทของตัวเองนี่เอง ที่น่าจะเป็นบทเรียน ที่เราชาว MEA น่าจะเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์นี้ ซึ่งทางฝ่ายบริหารความเสี่ยงของ MEA ก็มีแผนขั้นตอนการดำเนินงานในภัยพิบัติอยู่แล้ว แม้แต่ละภัยพิบัติจะมีรายละเอียดต่างกันไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่มีร่วมกัน คือ ทุกแผนจะมีการกำหนดผู้มีหน้าที่สั่งการ อำนวยการและประสานระหว่างคณะกรรมการจัดการวิกฤตการณ์ (Crisis Management Committee: CMC)

 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งสำคัญกว่าตำแหน่งที่แต่งตั้ง หากผู้บริหาร สายงาน พนักงานทุกคน เห็นกระบวนการตัวเอง เห็นตัวชี้วัดของตัวเอง รู้ว่าบทบาทงานของตัวเองมีความเสี่ยงตรงไหนที่อาจเกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุ การวิ่งเข้ารับมือจัดการกับสถานการณ์ที่วิกฤตโดยมีลูกค้าเป็นที่ตั้ง กับความตั้งใจว่าจะทำอย่างไรเพื่อบรรเทาความเดือนร้อนให้ได้เร็วที่สุด

 

นอกจาก “ความเร็ว” ที่เป็นหัวใจแล้ว แก่นกลางของหัวใจดวงนั้นก็คือ “คำถาม”

 

คำถามอะไร?

คำถามที่ไม่ใช่แค่ว่า “เกี่ยวกับเราไหม” ... แต่เป็นคำถามที่เราทุกคนควรถามตัวเองในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบสาธารณูปโภคหลักว่า “เราจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนอะไรได้บ้าง” ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญ

 

Customer Focus – เพราะไม่ว่าจะด้วยเหตุใด คน MEA “ทุกคน” ควรระลึกไว้เสมอว่า ... เรามีหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชน

 

“สุข” คือ การที่ประชาชนทุกคนมีไฟฟ้าใช้

“สุข” คือ ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด หรือในภาวการณ์ใด ๆ ที่ทำให้ไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่เราทำให้ไฟฟ้ากลับคืนมาได้เร็วที่สุด

 

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ เราไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไร แต่ถ้าเราทุกคนมี mindset มีธงในใจในเรื่องของการรักษาความปลอดภัย มีการวางแผนเตรียมรับมือ รู้ว่าตัวเองต้องอยู่ตรงไหนและทำอะไร และมีความร่วมมือร่วมใจกันในองค์กรโดยมีประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก เมื่อเกิดเหตุวิกฤต ความร้ายแรงก็จะถูกจัดการให้บรรเทาเบาบางได้ในที่สุด

 

ในทุกอุบัติเหตุ ความเสียหายและความรุนแรงที่เกิดขึ้น มักบรรเทาลงด้วยความพร้อมในการรับมือ

 

และเชื่อไหมว่า “ทุกคน” ในองค์กรล้วนอยู่ในสมการความพร้อมที่ว่านี้ จะมากจะน้อย จะรูปแบบใด ... แค่นั้นเอง

เพราะความพร้อมที่ดีที่สุด คือ “ทุกคนพร้อมที่จะลุกขึ้นช่วย”

 

แผนรับมือสำคัญ

แต่การปฏิบัติตามแผนด้วย “ความเห็นอกเห็นใจและมีประชาชนเป็นหลัก” นั้นสำคัญยิ่งกว่า

 

 

ขอบคุณข้อมูลประกอบบทความ :

- ฝ่ายพัฒนาคุณภาพองค์กร (Productivity Society)

- ฝ่ายบริหารความเสี่ยงองค์กร

 

ที่มา :

https://news.thaipbs.or.th/content/297678

https://www.sanook.com/money/798095/
https://www.thairath.co.th

https://www.prachachat.net/

Facebook: PTT News

 

----------

อ่าน "กระแส" บทความอื่น ๆ

14 จะรอวันนั้น... หรือจะเริ่มวันนี้

13 บทเรียน “น้ำประปาเค็ม” MEA พร้อมหรือยัง เตรียมรับมือ “ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน”

12 COVID-19 “การรับผิดชอบต่อส่วนรวม” มีเดิมพันที่สูงกว่าเดิม

11 ฝ่าปีสุดโหด 2020 เตรียมรับ Trend โลกปี 2021

10 โจ ไบเดน: สุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้ง กับคำพูดที่ชวนให้คน MEA หันมามอง (เป้าหมาย) ตัวเอง

09 ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต

08 ตกผลึกเหตุการณ์โรงเรียนชื่อดัง คน MEA ได้เรียนรู้อะไร

07 ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้... อยู่ที่ว่าใครรับมือได้ดีกว่ากัน บทเรียนล้ำค่าจากระบบ Garmin ล่ม

06 30 ปีแห่งการรอคอย เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล

05 เชื่อหรือไม่? ชีวิตดิจิทัล เริ่มต้นที่ใจ

04 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 2)

03 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 1)

02 รัฐวิสาหกิจมั่นคงจริงหรือ? รวบรวมบทวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้ ถอดบทเรียนจากกรณีการบินไทย

01 MEA เจิดจ้า ท้าชนพี่ ๆ มาสคอตระดับโลก