ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว
เป็นช่วงเวลาที่แฟนวอลเลย์บอลทีมชาติไทยได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง เมื่อได้เห็น 6 สาว FAB6 อดีตทีมชาติชุดขวัญใจคนไทยกลับมาลงสนาม ในการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ลีก 2021
แต่การกลับมาลงเล่นอีกครั้งรอบนี้ ต้องเรียกว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน และเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่ได้ผลดีเกินคาด ด้วยเหตุว่าทีมชาติชุดหลักเกิดติดเชื้อ COVID-19 กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา จะสละสิทธิ์ก็เสียดายโอกาส สมาคมวอลเลย์บอลจึงตัดสินใจเรียกอดีตทีมชาติชุดนี้ ที่เลิกเล่นไปแล้วให้มาช่วยกู้สถานการณ์ แม้ไม่ได้ซ้อม ไม่ได้เตรียมตัว แต่ทุกคนก็ไม่ลังเลใจเมื่อมีโอกาสได้รับใช้ชาติ
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมสาวไทยชุดนี้ได้แสดงให้เราเห็นถึงพลังในการพลิกวิกฤต แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ลุกขึ้นจากความพ่ายแพ้ วันนี้ “กระแส” จะชวนคน MEA ย้อนอดีตกลับไปเห็นบทเรียนแนวคิด “Resilient” ของทีมวอลเลย์บอลสาวไทย จากเหตุการณ์ที่ผิดหวังที่สุดในชีวิต ก่อนจะผงาดกลับคว้าที่ 4 ของโลก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 วัน
จุดกระแสวอลเลย์บอลไทย ก่อนล้มลงด้วยน้ำมือคนอื่น
ย้อนไปช่วงปี 2009 กีฬาวอลเลย์บอล จากไม่ได้อยู่ในกระแสนิยมของแฟนกีฬาสักเท่าไร กลับกลายเป็น Talk of the town ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง 7 สาวทีมชาติไทย ขึ้นปกนิตยสารนับจำนวนไม่ไหว ด้วยฝีมือที่เชียร์สนุก ๆ พลิกล็อกคว่ำทีมใหญ่ ๆ เป็นว่าเล่น รวมถึง “พลัง” ด้านบวก ความยิ้มแย้มในสนาม ทำให้พวกเธอชนะใจคนไทยทั้งประเทศ
จุดสูงสุดของทีม อยู่ในช่วงปี 2012 ที่ผู้เล่นสะสมประสบการณ์ ความเข้าขาของทีม เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีมไทยที่มีลุ้นได้ผ่านเข้ารอบไปเล่นในกีฬาโอลิมปิก
การแข่งขันรอบคัดเลือกเป็นที่เฝ้ารอของคนไทย นั่งหน้าจอเปิดดูถ่ายทอดสดกันทั้งประเทศ ทีมสาวไทยโชว์ฟอร์มสุดมหัศจรรย์ พลิกล็อกคว่ำเซอร์เบียแบบเหนือความคาดหมาย เก็บชัยชนะต่อเนื่อง และนัดสุดท้ายฮึดสู้ เอาชนะทีมชั้นนำของโลกอย่างคิวบาได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทำให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่เตรียมเข้าเป้า ได้โควตาไปโอลิมปิก
"ไทยแข่งคู่แรกตอน 11 โมงเช้า เราก็ดีใจกันแล้ว ผมให้เงินน้อง ๆ ไปซื้อของกินมาเลย เราทุกคนจะมารอดูเกมนัดสุดท้ายเวลา 1 ทุ่ม ที่ญี่ปุ่นจะเจอกับเซอร์เบีย ด้วยความสัตย์จริง ผมว่าไทยเข้ารอบแน่ ในใจคิดไปไกลข้ามช็อตแล้ว ไม่ได้เผื่อใจกับความผิดหวังเลย” โค้ชอ๊อต เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ให้สัมภาษณ์ถึงวันนั้นที่พาทีมชาติไทยมาจ่อรอได้ตั๋วสู่โอลิมปิก
ในการแข่งนัดสุดท้ายคู่เย็น จังหวะนั้นไทยกุมความได้เปรียบมหาศาลที่จะได้เข้ารอบ หากญี่ปุ่นชนะ ทีมไทยก็จะกอดคอกับญี่ปุ่นเข้ารอบไปด้วยกันทันที หรือกระทั่งญี่ปุ่นแพ้ 3-0 หรือ 3-1 เราก็ยังเข้ารอบ กรณีเดียว แค่กรณีเดียวเท่านั้น ถ้าเซอร์เบียชนะด้วยคะแนน 3-2 เซ็ต เราถึงจะตกรอบ ซึ่งตอนนั้นทั้งฟอร์มของญี่ปุ่นที่เหนือกว่า แถมยังเป็นการแข่งขันในบ้านของญี่ปุ่น ดูอย่างไรญี่ปุ่นก็นอนมา
จบ 3 เซ็ตแรก ญี่ปุ่นออกนำ 2-1 แบบสบาย ๆ ถึงตรงนี้ ญี่ปุ่นที่เก็บ 2 เซ็ตได้แล้ว ทำให้เข้ารอบสุดท้ายแน่นอน ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ แต่กับทีมไทย หากเซอร์เบียพลิกกลับมาชนะได้ 3-2 นั้นคือฝันร้าย
แต่แล้วเกมของญี่ปุ่นที่เหนือกว่าอยู่ดี ๆ ก็ช็อตไปดื้อ ๆ นักตบญี่ปุ่นพลาดลูกง่าย ๆ เสียในลูกที่ไม่ควรจะเสีย ค้านสายตาแฟนวอลเลย์บอลหลายคนที่รู้สึกว่าญี่ปุ่นปล่อยเกมทิ้ง จนเหตุการณ์ฝันร้ายกลายเป็นจริง เมื่อเซอร์เบียแซงชนะได้จริง ๆ
บรรยากาศในห้องพักของทีมวอลเลย์บอลสาวไทยที่ญี่ปุ่นตอนนั้น หม่นหมองเต็มไปด้วยน้ำตา ในวันที่เราเข้าใกล้ความสำเร็จที่สุด แต่แล้วกลับถูกกระชากลงมา โดยไม่ใช่ความผิดของทีมเราเอง
"เด็กทุกคนร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ผมอยู่กับเขาทั้งคืน" โค้ชอ๊อตเล่าถึงบรรยากาศในคืนที่เขาจำไม่ลืม สิ่งที่หลายคนไม่เคยได้รู้เลยก็คือ วันนั้น นักกีฬาหลายคนพูดกับโค้ชอ๊อตว่า พอแล้ว อยากขอเลิกเล่นทีมชาติแล้ว
นั้นยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้น เพราะทีมชาติไทย ยังมีกำหนดการต้องแข่งในรายการ World GrandPrix ในเวลาอีกแค่ 10 กว่าวันเท่านั้น
จุดสูงสุด สู่จุดต่ำสุด กระเด้งสุ่จุดสูงสุด... อีกครั้ง
เหลือเวลาอีกแค่ 10 กว่าวัน ที่ทีมชาติไทย จะเข้าแข่งขัน World GrandPrix ด้วยสภาพจิตใจที่เหมือนตกเหวตอนนี้ ดูแล้วเป็นงานที่น่าลำบากเหลือเกิน
"จำกันได้ไหม พวกเอ็งเคยเขียนอะไรเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว" ย้อนเวลาไปก่อนหน้านั้น 10 ปี ในวันที่ทั้งทีม ยังไม่มีใครรู้จัก ไม่มีแสงไฟมาส่อง ไม่มีกล้องทีวีมาถ่ายทอด ในค่ายเก็บตัวที่จังหวัดยะลา วันนั้น "โค้ชอ๊อต" ให้เด็ก ๆ ในวันนั้น ที่โตมาเป็นขวัญใจชาวไทยในวันนี้ เขียนว่าทุกคนเป็นใคร "เอ็งมีความฝันอะไรในวันนั้น อยากไปถึงตรงไหน ...จำได้ไหม"
โค้ชอ๊อต จุดประกาย ย้อนไปถึงความฝันของทุกคน ปลุกพลังใจว่าอย่าให้ใครมาทำลายความฝันของเรา ขอให้ทุกคนตั้งใจเดินหน้าลงแข่ง World GrandPrix ต่อ
"ตีชนะให้หมดทุกทีม แล้วค่อยกลับไปร้องไห้ที่บ้านเรา"
นี่คือประโยคปลุกใจจากโค้ชอ๊อตในคืนนั้น และนั้นก็คือสิ่งที่สาวนักตบไทยทำจริง ๆ พวกเธอลงสนามด้วยหัวใจบอบช้ำ แต่จบการแข่งขันด้วยตำแหน่งที่ 4 ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยไปไกลได้เท่านั้น "เราได้ที่ 4 ตีชนะทุกทีมที่ได้ไปโอลิมปิก แต่เราไม่ได้ไปโอลิมปิก" โค้ชอ๊อตกล่าวเล่าความหลัง
พลังใจที่แข็งแกร่ง แม้เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่น่าจะเลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่พวกเธอก็กลับมาสู่จุดสูงสุดได้ ในเวลาอันรวดเร็ว
“ไม่มีใครไม่เคยผิดหวัง” พลังใจ รับมือวิกฤตฉบับ MEA
พวกเราเรียนรู้อะไรจากบทเรียนของทีมนักวอลเลย์สาวไทยได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการต้องรวมทีมฉุกเฉิน เพราะชุดหลักป่วยจากการติดเชื้อ COVID-19 กระทั่งการลุกจากความผิดหวังที่สุด มาคว้าตำแหน่งสูงสุดในการแข่งขัน สิ่งหนึ่งที่ 7 สาวนี้จะสอนเราได้ก็คือชุดความคิดแบบ “Resilient”
Resilient แปลเป็นไทยบ้าน ๆ ว่าความยืดหยุ่น แต่ในหลักคิดการบริหารองค์กรยุคใหม่แล้วนั้น คำคำนี้มีความหมายกว้างกว่านั้นมาก มันหมายถึงการพร้อมรับมือกับปัญหา วิกฤต ความเปลี่ยนแปลง โดยไม่กระทบกระเทือนองค์กร รวมถึงความพร้อมในการปรับเปลี่ยน ปรับตัวเข้ากับโลกที่เปลี่ยนเร็วขึ้นทุกวัน
ในยุควิกฤตโรคระบาดนี้ แนวคิด Resilient ยิ่งทวีความสำคัญ และสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่ MEA ของเราได้เตรียมพร้อมไว้ก็มีมากมาย อย่างหนึ่งที่ทุกคนทุกหน่วยงานล้วนคุ้นเคยก็เช่น แผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ Business Continuity Plan ซึ่งขยายผลมาจากแนวคิดการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management : BCM) และนั่นก็เปรียบเหมือน “แผนสำรอง” ของทีมนักกีฬา ให้เราสามารถให้บริการด้านไฟฟ้ากับประชาชนได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด ไม่ว่าจะเกิดเหตุใดก็ตาม
แผนที่ว่านี้ มีหลายด้าน และเนื้อหาแต่ละด้านก็แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการโยกกำลังคนข้ามเขตช่วยเหลือกันหากเกิดเหตุฉุกเฉิน การร่วมมือกับ ฟข. ที่ใกล้กัน ยื่นมือมาช่วยเพื่อให้การแก้ไฟฟ้าขัดข้องและการบริการประชาชนไม่ต้องชะงัก แม้แต่ละด้านแต่ละหน่วยงานจะมีแนวทางปฏิบัติต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกแผนมีเหมือนกัน คือ “ความพร้อมที่จะปรับ ความพร้อมที่จะเปลี่ยน ความพร้อมรับอะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามคาดหมาย”
การมีแนวคิดแบบ Resillient นั้น ไม่เพียงสำคัญในวันที่มีวิกฤต แต่เป็นแนวคิดที่พวกเราทุกคนควรมีติดตัวไว้เสมอ ความพร้อมในการปรับตัวและรับมือการเปลี่ยนแปลงนั้น นับวันจะยิ่งทวีความสำคัญ ในโลกที่การ disruption เกิดขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านพลังงานพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่าทุกอย่างรอบตัวต้องเปลี่ยนไป
“มีความพร้อม” คือปัจจัยแห่งความสำเร็จ เพราะแม้สถานการณ์อาจทำให้เราล้ม แต่เราก็รู้ว่าเราจะล้มให้เจ็บน้อยได้อย่างไร การมีความพร้อมจะทำให้เราเตรียมตัวที่จะลุกให้ได้อย่างรวดเร็ว
และหากคน MEA ทุกคน “พร้อม” ปรับ-เปลี่ยน จะอีกกี่ความผิดหวัง จะอีกกี่วิกฤต เราก็จะช่วยกันพยุงลุกขึ้น และก้าวต่อไปด้วยกัน... ด้วยความหวังเต็มหัวใจว่าวันต่อ ๆ ไป จะดีกว่าเมื่อวาน
----------
Credit ภาพ :
https://hilight.kapook.com/view/71819
https://www.facebook.com/watch/?v=359140552228648
----------
อ่าน "กระแส" บทความอื่น ๆ
18 ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว
17 ฉีด – ไม่ฉีด กับการตัดสินใจที่ดีที่สุด
16 ภูมิคุ้มกันใจที่คน MEA ต้องมี เพราะเบื้องหลังของทุกชีวิต คือระบบไฟฟ้า
15 บริษัทลูก MEA กางใบเรือ ขยายศักยภาพ รับความเปลี่ยนแปลง
14 จะรอวันนั้น... หรือจะเริ่มวันนี้
13 บทเรียน “น้ำประปาเค็ม” MEA พร้อมหรือยัง เตรียมรับมือ “ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน”
12 COVID-19 “การรับผิดชอบต่อส่วนรวม” มีเดิมพันที่สูงกว่าเดิม
11 ฝ่าปีสุดโหด 2020 เตรียมรับ Trend โลกปี 2021
10 โจ ไบเดน: สุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้ง กับคำพูดที่ชวนให้คน MEA หันมามอง (เป้าหมาย) ตัวเอง
09 ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต
08 ตกผลึกเหตุการณ์โรงเรียนชื่อดัง คน MEA ได้เรียนรู้อะไร
07 ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้... อยู่ที่ว่าใครรับมือได้ดีกว่ากัน บทเรียนล้ำค่าจากระบบ Garmin ล่ม
06 30 ปีแห่งการรอคอย เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล
05 เชื่อหรือไม่? ชีวิตดิจิทัล เริ่มต้นที่ใจ
04 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 2)
03 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 1)
02 รัฐวิสาหกิจมั่นคงจริงหรือ? รวบรวมบทวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้ ถอดบทเรียนจากกรณีการบินไทย
01 MEA เจิดจ้า ท้าชนพี่ ๆ มาสคอตระดับโลก