• หน้าแรก
  • สื่อออนไลน์กระแส
  • วารสารประกาย
  • คลิป
    • รายการถามตรงตอบตรงกับผู้ว่าการกีรพัฒน์
    • รายการ MEA Today Talk
    • รายการเปิดประตูดูห้องเวร
    • รายการชม ชิม ชอป
    • รายการ MEA Knowledge Tube
    • คลิปอื่น ๆ
  • สำหรับผู้ดูแลระบบ

โลกใหม่ Metaverse เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ไม่หยุด disrupt ตัวเอง

  • Print
Details
กระแสออนไลน์
05 November 2021
Hits: 3210

 

โลกใหม่ Metaverse เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ไม่หยุด disrupt ตัวเอง

 

สร้างความตื่นเต้นแก่คนทั้งโลกกับการเปิดตัว “แนวทางใหม่” ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ที่แม้แทบจะผูกขาดเวลาในโลกออนไลน์ของเราอยู่แล้ว แต่ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง ก็ยังไม่หยุดสร้างสรรค์ และนำเสนอ “โลกใหม่” ซึ่งจะเชื่อมต่อผู้คนเข้าถึงกันอย่าง Metaverse ที่หลายคนได้ดูวิดีโอนำเสนอแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้างในความล้ำยุคและเหนือจินตนาการของโลกอนาคตประหนึ่งภาพยนตร์ และโลกสุดล้ำนี้น่าจะไม่ใช่ความฝันที่ไกลเกินจริงนัก ในเมื่อบริษัทอันดับต้น ๆ ของโลก เอาจริงกับเรื่องนี้ ถึงขนาดเปลี่ยนชื่อบริษัท จาก Facebook เป็น Meta เพื่อสื่อสารถึงก้าวต่อไปของบริษัท

 

แล้วความเคลื่อนไหวครั้งนี้เกี่ยวอะไรกับพวกเราคน MEA บริษัทระดับโลกอย่าง Facebook มีอะไรที่เหมือนกับ MEA และพวกเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง จากการพลิกตัวครั้งใหญ่ของบริษัทที่ใหญ่เกือบที่สุดในโลก

 

 

Metaverse เมื่อโลกจริง กับโลกเสมือนถูกผนวกเป็นเนื้อเดียวกัน

 

หลายคนอาจจะสงสัยว่า เจ้า Metaverse หน้าตามันจะเป็นแบบไหน นิยามให้เข้าใจง่ายที่สุด Metaverse คือ การผนวกรวมโลกจริงที่เรารับรู้ ผ่านหูตาจมูกผิวหนังของเรา เข้ากับโลกดิจิทัลที่เราเคยรับรู้ผ่านจอมือถือ

 

ในยุค Work from Home เราหลายคนอาจคุ้นเคยกับการประชุม Zoom ที่เราและเพื่อนร่วมงาน เข้าไปคุยกันผ่านหน้าจอ ในอนาคตของโลก Metaverse เราจะสามารถประชุมกับเพื่อน ๆ โดยย้ายตัวเราทุกคนเข้าไปอยู่ที่ร้านกาแฟสักที่ใน Metaverse ที่เราสามารถเห็นตัวเพื่อนเราแบบมีเนื้อมีหนังมากกว่าแค่เห็นผ่านจอ และเราเข้าไปนั่งอยู่ใบบรรยากาศของร้านนั้นกับเพื่อนเรา มากกว่านั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์

 

การทำงานในออฟฟิศแบบ Metaverse อาจจะทำได้จากที่บ้าน ที่เรานั่งบนโต๊ะตัวโปรดของเรา แต่เมื่อใส่แว่น เราสามารถที่จะเห็นเพื่อนเราเดินผ่านมาทักทาย เหมือนเรานั่งอยู่ในออฟฟิศ หรือย้ายตัวเราใน Metaverse เดินไปเคาะประตูห้องหัวหน้า เพื่อขอปรึกษางาน โดยที่เราตัวจริงไม่ได้ขยับตัวจากเก้าอี้เลย

 

หรือเมื่อเราออกไปเดินตามท้องถนน แล้วสามารถซ้อนข้อมูลจากโลก Metaverse เพื่อดูว่ารอบ ๆ ตัวเรา มีร้านอาหารไหนน่ากินบ้าง มีใครรีวิวไว้อย่างไรบ้าง และต้องเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตรงไหนจากจุดที่เราอยู่ เพื่อไปถึงที่ร้าน

 

หน้าตาของเว็บไซต์ Thefacebook.com เมื่อเปิดตัวครั้งแรกในปี 2004

 

Mindset ขององค์กรแห่งนวัตกรรม - ไม่หยุดหาโอกาส แม้ตัวเองจะใหญ่โตแค่ไหน

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 ตอนนั้น Facebook เริ่มถูกตั้งคำถามถึงการเติบโตขั้นต่อไป ที่เริ่มมีกระแสว่าคนรุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้รู้สึกว่า Facebook เป็นสถานที่เท่ ๆ เท่ากับ Social media อื่น ๆ Mark Zuckerberg ได้เคยให้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้เอาไว้ว่า เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเท่ เท่ากับการทำให้ Facebook เป็นเหมือนสาธารณูปโภคพื้นฐานที่คนต้องใช้ เหมือนไฟฟ้าที่คนก็ไม่ได้รู้สึกว่าไฟฟ้าต้องเท่ แต่ไม่ว่าใครก็จำเป็นต้องใช้

 

วันนี้ จำนวนผู้ใช้งาน Facebook ทั่วโลกอยู่ที่ 2,910 ล้านคน หากไม่นับคนจีนที่บล็อกการใช้ Facebook ก็แทบจะเรียกได้ว่าคนทั้งโลกที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ใช้ Facebook กันหมด และ Mark Zuckerberg  ก็ทำได้ตามวิสัยทัศน์ที่เขาคิดไว้ได้จริง ๆ เพราะตอนนี้คนทั้งโลกใช้ Facebook เหมือนสาธารณูปโภคเพื่อเป็นเครื่องมือไว้ติดต่อกันกับเพื่อน ๆ กันหมดแล้ว

 

ความสำเร็จในการปั้น Facebook จนมีสถานะที่เป็นเหมือนสาธารณูปโภคพื้นฐาน เหมือนไฟฟ้าที่ MEA ดูแล ทำให้เป็นประเด็นน่าสนใจกับพวกเราว่า ทำไมเขาถึงยังต้องดิ้นรนต่อ พัฒนาต่อ แม้จะเป็นยักษ์ใหญ่ขนาดนี้แล้ว แค่เก็บเกี่ยวความสำเร็จนี้ต่อไป และรักษาสถานะเป็นผู้ให้บริการที่คนจำเป็นต้องใช้ทุกวันก็พอแล้ว แต่เขากลับเลือกเดินหน้าไปสู่จักรวาลใหม่ ที่ยังไม่มีใครเห็นความเป็นไปได้มากนัก แล้วคน MEA จะเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง

 

 

ทำไมต้อง Metaverse

 

ในวันนี้ที่ Facebook กินพื้นที่จนแทบทุกคนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตใช้ Facebook กันแล้ว การเติบโตทางธุรกิจของ Facebook อยู่ในสถานะที่เรียกว่าเป็น “Cash cow” คือเปรียบเหมือนวัวที่รีดนมกินไปได้เรื่อย ๆ เพราะกินสัดส่วนมหาศาล คู่แข่งแทบสู้ไม่ได้ ในตลาดที่ไม่ได้เติบโตร้อนแรงมากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม นมที่รีดออกมาเป็นกำไรของ Facebook ในวันนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ เลย แค่รักษาสถานะแบบนี้ไปเรื่อยๆ กำไรก็เติบโตงอกงามไปได้

 

แต่การอยู่เฉย ในโลกที่หมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มันก็คือการเดินถอยหลัง และด้วยทัศนคติของบริษัทแห่งนวัตกรรม ที่ไม่ต้องการแค่หมุนตามโลก แต่ต้องการหมุนโลกด้วยผลิตภัณฑ์ที่เขาทำ จึงเป็นเหตุผลที่ Facebook มองหา “ก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่” อีกครั้ง เหมือนที่พวกเขาเคยเปิดตัว Facebook เมื่อปี 2004 การเติบโตอีกครั้งแบบนี้ หรือที่เรียกว่า New S-curve เป็นเรื่องสำคัญของบริษัทใหญ่ และ Mark Zuckerberg เชื่อว่า New S-curve นั้นคือ Metaverse

 

ในการ Live แถลงเรื่อง Metaverse  Mark Zuckerberg ย้อนอดีตถึงพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต จากข้อความ เป็นภาพ มาสู่วิดีโอ และ Mobile internet ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอินเทอร์เน็ต และวิถีชีวิตของพวกเราอย่างไม่มีวันหวนกลับ ตั้งแต่ปี 2007 ที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นแรก Smart phone ที่เสมือนคอมพิวเตอร์ในกระเป๋าของเรา ได้เปลี่ยนแปลงวิถีที่เราคุยกับเพื่อน ที่เราเสพความบันเทิง ที่เราจับจ่ายใช้สอย และสร้างเศรษฐกิจที่ใหญ่โตมหาศาล ก่อนหน้านั้นเราคงไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ไม่ได้มีสินค้าและบริการอะไรในโลกจริงเลย แต่ทำกำไรได้จากแอปพลิเคชันที่อยู่บนมือถือเท่านั้น

 

และเขาเชื่อว่าปรัชญาที่เป็นแกนกลางของ Facebook ในการ “Connecting people” นั้นจะยังคงเหมือนเดิม แต่ Metaverse จะเป็นจักรวาลใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาสในการยกระดับการเชื่อมสัมพันธ์ของผู้คน เขาเชื่อว่า Metaverse จะเป็นการปฏิวัติเหมือนที่ Smart phone เคยปฏิวัติโลกมาแล้ว ด้วยประสบการณ์ที่ทำให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งได้มากกว่าแค่สัมผัสหน้าจอสี่เหลี่ยม ด้วยเทคโนโลยีที่กำลังสร้างประสบการณ์เสมือนให้กลมกลืนกับโลกจริงอย่างแนบเนียน และเขาก็ต้องการให้ Facebook เป็นผู้นำในการบุกเบิกเทคโนโลยีนี้ เช่น การที่ Facebook เองได้ร่วมมือกับ Ray-ban ในการผลิตแว่นที่ยังสวมใส่ดูดีได้ในโลกจริง แต่ซ่อนอีกจักรวาลดิจิทัลให้เรามองเห็น รับฟัง ไปได้พร้อม ๆ กัน

 

จุดร่วมกันของ  Facebook กับ MEA - จำเป็นต่อชีวิต ในตลาดที่ไม่เติบโต

 

แม้บริการของ Facebook กับ MEA จะแตกต่างกัน แต่วันนี้ Facebook เป็นเหมือนสาธารณูปโภคพื้นฐาน เหมือนไฟฟ้า เรียกได้ว่าคงเป็นความลำบากระดับใกล้เคียงกันสำหรับหลายคน หากวันหนึ่งไม่มีไฟฟ้า หรือ ไม่มี Facebook

 

แล้วพวกเราคน MEA จะเลือกอยู่นิ่ง ๆ เก็บกินกับความที่เป็นองค์กรใหญ่ กินส่วนแบ่งเกือบผูกขาดทั้งตลาด แล้วรอให้คลื่นความเปลี่ยนแปลงโถมเข้ามาแบบที่ไม่ได้เตรียมพร้อม หรือเราจะไม่ตั้งรับ แต่รุกออกไปหาโอกาสใหม่ ๆ ก้าวให้นำการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนตัวเอง ก่อนจะโดนการเปลี่ยนแปลงบังคับให้ต้องเปลี่ยน เหมือนที่ Facebook กำลังบุกออกไปในจักรวาลใหม่ครั้งนี้

 

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเราต้อง “คิด” อยู่เสมอ เพราะการคิดต่อยอด การคิดพัฒนา และความคิดสร้างสรรค์นำไปสู่การทำงานแบบใหม่ นวัตกรรมใหม่ ๆ มันสำคัญถึงขั้นเป็นหนึ่งใน enablers ของ SE-AM  นวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการฉีกตัวเองให้หลุดจากกรอบเดิม และนั่นเป็นเหตุผลที่ MEA กำลังกระตุ้นอย่างมากเรื่องสนับสนุนให้พนักงานมี mindset ของนวัตกรรม เพราะเมื่อไรที่เมล็ดพันธุ์วัฒนธรรม “การคิด” ถูกกลืนเป็นเนื้อเดียวกับการใช้ชีวิตของเรา เมื่อนั้นพวกเราจะยั่งยืน และการสร้างนวัตกรรมก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรสำหรับพวกเรา เพราะ MEA ก็ดำเนินงาน เป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมมาโดยตลอด ในวันที่ยังไม่มีรัฐวิสาหกิจเจ้าไหนมี Call Center เราก็บุกเบิก 1130 เป็นรายแรก  MEA Smart Life เคยกระทั่งนำกลุ่มเป็นอันดับ 1 “App ยอดนิยม” ประเภทสาธารณูปโภคและสวัสดิการภาครัฐ จากการจัดอันดับ Government App Center (GAC) ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGA) และก้าวมาจนถึงการนำ​ AR มาใช้ในฟังก์ชันของแอปฯ ส่อง​ค้นหาสถานที่รับชำระค่าไฟฟ้า​ได้ รวมถึงการพัฒนา Virtual District อย่างต่อเนื่อง

 

กระบวนงาน และกิจกรรมต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็น Innotank ( https://innovation.mea.or.th/ ) พื้นที่สำหรับให้พนักงานแบ่งปันไอเดียสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม หรือ โครงการ MEA Hackathon Day หรือ กิจกรรม “คิดไง... ได้ INNO” ฯลฯ ล้วนเกิดขึ้นเพื่อให้คน MEA เรียนรู้ไปพร้อมกันว่าเราจะปลุกปั้นสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ยกระดับคุณภาพบริการของเราในทุก ๆ วันได้อย่างไร

 

วิสัยทัศน์แห่งการสร้างนวัตกรรมนั้น ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่เพียงใน core business เท่านั้น แต่อยู่ได้ในทุกแผนก ทุกหน่วยงาน ทุกเขตพื้นที่ หากเราเข้าใจปรัชญาของนวัตกรรม นั่นคือการยกระดับผลลัพธ์ให้ดีขึ้น ปรับตัวกับสถานการณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป ให้ได้ผลลัพธ์ที่เทียบเท่าหรือดีกว่าเดิม

 

เมื่อโลกเปลี่ยนแล้ว และจะเปลี่ยนเร็วขึ้น ระบบเราต้อง Go Smart การบริการต้อง Go Digital แต่ทั้ง 2 อย่างนี้จะไปต่อไม่ได้ ถ้าไม่มี “คน” ผลักดัน แผนยุทธศาสตร์ วันนี้-ปี 2565 เราจะเป็น Smart Energy ปี 2566-2570 เราจะก้าวสู่การเป็น Innovative Firm จากนวัตกรรมที่สนับสนุนกิจการภายใน จะขยายออกสู่สังคมภายนอก และภายในปี 2580 เราจะเข้าสู่การเป็น Sustainable Utility เราจะยั่งยืนทั้งในแง่เศรษฐกิจ เติบโตเลี้ยงตัวเองได้ พร้อมกันนั้นเราจะดูแลสังคมและชุมชน แต่แผนจะเป็นเพียง “ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ” ถ้าคนในองค์กรไม่เปลี่ยนแผนเป็น “เป้าหมาย”

 

ในวันที่ Facebook ไม่น่าตื่นเต้นเหมือนก่อน แต่ในอีกแง่ก็ขาดไม่ได้ ยักษ์ใหญ่แบบเขายังต้องขยับหาที่ทางใหม่ แม้ยังคงทำกำไรได้จากธุรกิจเดิม

 

ย้อนกลับมาถามพวกเราที่ MEA แล้ว “ไฟฟ้า” ล่ะ? คนคงไม่ตื่นเต้นเพราะอยู่กับไฟฟ้ามาจะร้อยปี แต่ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เราจะเห็นสิ่งนี้เป็นข้อได้เปรียบ แล้วอยู่เฉย ๆ หรือจะรุกออกไปหาโอกาสใหม่ ๆ มองทะลุกระแสความเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ทำอย่างไรให้เมื่อวันนั้นมาถึง ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงเห็น MEA เป็นตัวเลือกที่ใช่ที่สุด แม้อาจไม่ใช่มีแค่เราที่เป็นตัวเลือก

 

 

-------------------------

อ้างอิง :

https://techcrunch.com/2013/09/18/facebook-doesnt-want-to-be-cool/?guccounter=1&guce_referrer=aHR0cHM6Ly93d3cuZ29vZ2xlLmNvbS8&guce_referrer_sig=AQAAACg_AvEvQA8K4-g2cofwK4QmcCKIXve5ATgCUKBW3UudWeA3CCCQdMKgn-Ts7PlGDsv8U0hBDwFEDbEM5SYiGmeUovSCkRlEBLMia-DsLMzVQ_7mlHO-YRGY4z1jaa46VtPX7wAYxTcgaRy-cYKKeFlhdTLndW-5HroLNLs70YVD

https://web.archive.org/web/20040212031928/http://www.thefacebook.com/

https://youtu.be/Uvufun6xer8

https://www.matichon.co.th/publicize/news_266224

 

-------------------------

อ่าน "กระแส" บทความอื่น ๆ

22 โลกใหม่ Metaverse เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ไม่หยุด disrupt ตัวเอง

21 ระบบล่ม โดนแฮ็ก – ข้อมูลลูกค้า กับความรับผิดชอบใหม่ขององค์กร

20 น้องเทนนิส เหรียญทองแรกของไทย - เจ็บแล้วไม่จบ ล้มแล้วไม่เลิก ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา

19 ปักต้นกล้า MEAei ขยายกิ่งก้าน เพื่ออนาคตพลังงานที่สะอาดและฉลาด

18 ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว

17 ฉีด – ไม่ฉีด กับการตัดสินใจที่ดีที่สุด

16 ภูมิคุ้มกันใจที่คน MEA ต้องมี เพราะเบื้องหลังของทุกชีวิต คือระบบไฟฟ้า

15 บริษัทลูก MEA กางใบเรือ ขยายศักยภาพ รับความเปลี่ยนแปลง

14 จะรอวันนั้น... หรือจะเริ่มวันนี้

13 บทเรียน “น้ำประปาเค็ม” MEA พร้อมหรือยัง เตรียมรับมือ “ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน”

12 COVID-19 “การรับผิดชอบต่อส่วนรวม” มีเดิมพันที่สูงกว่าเดิม

11 ฝ่าปีสุดโหด 2020 เตรียมรับ Trend โลกปี 2021

10 โจ ไบเดน: สุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้ง กับคำพูดที่ชวนให้คน MEA หันมามอง (เป้าหมาย) ตัวเอง

09 ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต

08 ตกผลึกเหตุการณ์โรงเรียนชื่อดัง คน MEA ได้เรียนรู้อะไร

07 ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้... อยู่ที่ว่าใครรับมือได้ดีกว่ากัน บทเรียนล้ำค่าจากระบบ Garmin ล่ม

06 30 ปีแห่งการรอคอย เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล

05 เชื่อหรือไม่? ชีวิตดิจิทัล เริ่มต้นที่ใจ

04 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 2)

03 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 1)

02 รัฐวิสาหกิจมั่นคงจริงหรือ? รวบรวมบทวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้ ถอดบทเรียนจากกรณีการบินไทย

01 MEA เจิดจ้า ท้าชนพี่ ๆ มาสคอตระดับโลก

ระบบล่ม โดนแฮ็ก – ข้อมูลลูกค้า กับความรับผิดชอบใหม่ขององค์กร

  • Print
Details
กระแสออนไลน์
08 September 2021
Hits: 8425

ระบบล่ม โดนแฮ็ก – ข้อมูลลูกค้า กับความรับผิดชอบใหม่ขององค์กร

 

เป็นข่าวใหญ่เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยหลุดเพิ่มอีก 30 ล้านรายชื่อ และอาจถูกนำไปปล่อยขายในตลาดมืด โดยไม่ได้ระบุแหล่งที่มา

 

วันก่อนหน้า ก็มีข้อมูลผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุขถูกแฮ็ก 16 ล้านรายชื่อ เกิดเป็นความกังวลของประชาชน และเป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงสาธารณสุขต้องรับมือ

 

และไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ก็มีกรณีแอปธนาคารใหญ่ล่ม ทำเงินหาย ปลายทางไม่ได้รับ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ผู้คนเข้าไปทวงเงินกันที่หน้าเพจของธนาคารกันอย่างอลหม่าน

 

วันนี้ผู้คนใช้บริการต่าง ๆ และแทบจะทุกอย่าง ผ่านออนไลน์กันมากขึ้นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะเวลาที่คนต้องอยู่บ้าน ออนไลน์กลายเป็นเหมือนหน้าร้าน เหมือนตึกสาขาหนึ่งขององค์กรไปเสียแล้ว การที่ระบบออนไลน์เกิดปัญหา ก็ไม่ต่างอะไรจากลูกค้าเดินเข้าร้านอาหารแล้วร้านไฟไหม้

 

งานของพวกเราที่ MEA ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ เพราะมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสายส่ง หม้อแปลง และอีกมากมาย และวันนี้เรามีผู้ใช้งาน MEA Smart Life มากกว่า 1 ล้านคน  มีผู้จ่ายค่าไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์ จากหลากหลายช่องทางเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของผู้ใช้ทั้งหมด

 

ข้อมูลของลูกค้าเหล่านี้ ความมั่นคงของระบบออนไลน์ จึงเป็นหน้างานใหม่ ที่เราเองก็ต้องมีมาตรฐานในการดูแลความปลอดภัยให้ได้ดีทัดเทียมกับที่เราดูแลระบบจำหน่าย ดูแลสายส่ง ดูแลหม้อแปลงของเราไม่ให้เกิดอันตรายกับประชาชน เพื่อบริการจ่ายไฟฟ้าได้อย่างมั่นคงปลอดภัย

 

แล้ว MEA มีการดูแลความปลอดภัยของระบบออนไลน์อย่างไรอยู่บ้าง และพวกเราในฐานะพนักงานจะมีบทบาทในการดูแลความมั่นคงนี้อย่างไรได้บ้าง วันนี้ “กระแส” จะพาทุกคนทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน

 

 

“โจรสลัดออนไลน์” ภัยคุกคามเมื่อโลกไร้พรมแดน

 

ชีวิตเราวันนี้ เกี่ยวพันกับดิจิทัล เชื่อมต่อกับโลกออนไลน์แทบจะตลอดเวลา ในระดับมากกว่าที่เราเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแค่เวลาที่เราหยิบมือถือเล่น Social Media เท่านั้น แต่ไฟฟ้าที่ส่งมาถึงบ้านเรา  เงินในบัญชี  น้ำมันที่เราใช้เติมรถ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเชื่อมต่อกับระบบข้อมูลสารสนเทศที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการดูแลทั้งแง่ความปลอดภัยและเสถียรภาพ เพื่อให้ชีวิตและกิจการต่าง ๆ ดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัด

 

เมื่อเราพึ่งพิงมันมาก มันย่อมมีค่ามาก และเมื่อมีค่ามาก ย่อมเป็นที่หมายตาของผู้ไม่หวังดี

 

กรณีท่อส่งน้ำมันบริษัท Colonial Pipeline ที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อเรียกค่าไถ่ ส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกาต้องเป็นอัมพาตไปช่วงระยะหนึ่ง สร้างความเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล จนถึงขั้นต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็เกิดจาก “แฮ็กเกอร์” ที่ทำการเจาะระบบควบคุมท่อส่งน้ำมันเหล่านี้ แฮ็กเกอร์ปิดการใช้งานด้วย “มัลแวร์” เพื่อเรียกค่าไถ่จากบริษัท เป็นเรื่องราวใหญ่โตถึงขั้นประธานาธิบดีสหรัฐต้องออกโรงมาสั่งการด้วยตัวเอง และจบลงด้วยการยอมจ่ายค่าไถ่จำนวนกว่า 137 ล้านบาท

 

ผู้นำด้านกลยุทธ์ไซเบอร์ของศูนย์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ World Economic Forum ยังได้กล่าวอีกด้วยว่า จากนี้ไปแนวโน้มการโจมตีทางไซเบอร์จะพุ่งเป้าไปที่ระบบอุตสาหกรรมบ่อยขึ้น เช่น ท่อส่งน้ำมัน โรงงานบำบัดน้ำเสีย และแน่นอนย่อมรวมถึงระบบไฟฟ้าด้วย

กระจายความเสี่ยง จัดการทรัพยากร กุญแจสำคัญในการดูแลระบบของ MEA
กับเรื่องที่สายงาน IT ทำอยู่คนเดียวไม่ได้

 

ทั้งปรากฏการณ์ในไทย และทั่วโลก ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยให้ระบบข้อมูลของ MEA ซึ่งก็ได้มีการวางรากฐาน และดำเนินการอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด

 

แต่ในวิกฤต COVID-19 นั้น การใช้งานระบบ ทั้งจากผู้ใช้ไฟภายนอก และการต้อง Work from Home ของพนักงาน MEA เอง ก็เป็นความท้าทายที่ทำให้หน่วยงานสายเทคโนโลยีสารสนเทศต้องดำเนินการเพิ่มศักยภาพทั้ง Hardware และ Software เพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้น และจัดการกับความเสี่ยงของระบบและเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นตาม โดยได้เพิ่มมาตรการและการมอนิเตอร์ให้เข้มข้นขึ้นอีกด้วย

 

ในส่วนของ e-Payment นั้น ตอนนี้เรียกว่าเป็น “หน้าร้านหลัก” ในการรับชำระค่าไฟฟ้าของ MEA ก็ว่าได้ เนื่องจากผู้ใช้ไฟฟ้าเลือกชำระแบบ e-Payment เป็นสัดส่วนประมาณ 90%  โดย e-Payment ของ MEA จะมี Third party หรือตัวกลางอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็คือตัวแทนรับชำระ เช่น ธนาคาร บัตรเครดิต ห้างร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ

 

Third party นั้นเป็นได้ทั้งการเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้ไฟฟ้าว่าองค์กรที่ MEA ร่วมงานด้วยนั้น มีมาตรฐานน่าเชื่อถือ แต่ในทางกลับกันก็อาจจะเป็นช่องโหว่ได้ด้วย MEA จึงต้องกำหนดมาตรฐาน เพื่อให้การส่งต่อข้อมูลรับชำระเงินจาก Third party แต่ละเจ้านั้นมีมาตรฐานเดียวกัน และเพื่อควบคุมตรวจสอบความปลอดภัยด้วย รวมถึงใช้หลักการกระจายความเสี่ยง คือ ไม่ผูกขาดระบบตัวกลางไว้กับ Third party เจ้าใดเจ้าหนึ่งเพียงเจ้าเดียว แต่ให้เกิดการกระจาย ทำให้แม้หากเกิดปัญหาขึ้นที่หนึ่ง ทั้งระบบจะยังสามารถใช้งานได้ต่อไป

 

เมื่อกระจายตัวแทนรับชำระไป ก็มีความจำเป็นตามมาที่จะต้องจัดการช่องทาง เพื่อรักษา Traffic ไม่ให้ล้นเกินที่ระบบรับไว้ ไม่ให้เกิดกรณีคล้ายกับที่แอปธนาคารล่ม เพราะมีผู้ใช้งานจำนวนมากพร้อม ๆ กันในช่วงสิ้นเดือน MEA ใช้วิธีออกแบบระบบการส่งข้อมูลให้สับหว่างเวลากัน เช่น จุดรับชำระในห้างสรรพสินค้านี้ ส่งข้อมูลเข้าระบบเวลา 20.00-21.00 น. แล้วหลังจากนั้น เป็นข้อมูลจากบัตรเครดิตยี่ห้อนี้ เป็นต้น

 

แต่เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้า และหากเกิดขึ้น MEA ก็ได้วางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ Business Continuity Plan (BCP) เอาไว้รองรับ เพื่อให้การบริการดำเนินต่อได้

 

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจคิดว่านั่นก็เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

คำถามคือ สาย IT เท่านั้นจริง ๆ หรือ ที่ “เกี่ยวข้อง” ?

 

ภารกิจในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้บริการของ MEA มีเสถียรภาพนั้น จะเป็นสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศดูแลอยู่เพียงส่วนเดียวไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่พนักงานทุกคนนำคอมพิวเตอร์ หรือมือถือของแต่ละคนเชื่อมต่อ Internet หรือ Intranet กับระบบขององค์กร แต่ละจุด และทุกจุด ล้วนเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการโจมตีได้เช่นกัน พวกเราทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เท่าทันกลยุทธ์ของผู้ไม่หวังดี เช่น การ Phishing ที่คนร้ายจะส่งลิงก์ปลอมมาทางอีเมล หรือช่องทางอื่น ๆ เพื่อหลอกให้เราคลิกเข้าไป แล้วฝัง “มัลแวร์” โปรแกรมที่สามารถเข้ามายึดระบบออนไลน์ขององค์กรได้ เหมือนเช่นกรณีที่เกิดกับ Colonial Pipeline หรือการไม่ติดตั้ง Software ผิดกฎหมาย ที่อาจเป็นการเปิดช่องโหว่ของระบบได้เช่นกัน

 

หน้าที่การดูแลหลัก เป็นของคน MEA หน่วยงานสาย IT

แต่หน้าที่ตระหนักว่าเราอาจเป็นช่องโหว่และจุดอ่อน เป็นของคน MEA ทุกคน

 

หากเปรียบเทียบกับภาพจำเดิม ๆ ที่คุ้นเคย แน่นอนว่าพวกเราทุกคนคงไม่มีใครจะยอมปล่อยให้สายไฟฟ้าชำรุด หรือเสียหายจนเกิดอุบัติเหตุกับประชาชน หรือปล่อยให้การจ่ายไฟติดขัดเป็นเวลานานจนผู้ใช้ไฟฟ้าไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ เช่นเดียวกัน พวกเราก็คงไม่ยอมปล่อยให้ระบบออนไลน์ขององค์กร ฐานข้อมูลลูกค้า ซึ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในโลกทุกวันนี้ โดนโจมตีหรือเสียหาย เพราะนั่นหมายถึงการบริการที่หยุดชะงัก และชื่อเสียงขององค์กร

 

ในโลกยุคดิจิทัล ความปลอดภัยข้อมูลออนไลน์ และความเสถียรของระบบให้บริการ ถือเป็น “ความรับผิดชอบใหม่” ขององค์กร และความรับผิดชอบใหม่นี้ มีผู้ดูแลร่วมกัน คือคน MEA ทุกคน

 

----------------------

ขอบคุณข้อมูลจาก :
ฝ่ายพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ฝพท.)
สำนักมาตรฐานและมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศ (สมส.)

 

----------------------

https://www.bbc.com/thai/international-57052951

https://www.posttoday.com/world/652344

https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_6441717

 

----------------------

อ่าน "กระแส" บทความอื่น ๆ

21 ระบบล่ม โดนแฮ็ก – ข้อมูลลูกค้า กับความรับผิดชอบใหม่ขององค์กร

20 น้องเทนนิส เหรียญทองแรกของไทย - เจ็บแล้วไม่จบ ล้มแล้วไม่เลิก ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา

19 ปักต้นกล้า MEAei ขยายกิ่งก้าน เพื่ออนาคตพลังงานที่สะอาดและฉลาด

18 ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว

17 ฉีด – ไม่ฉีด กับการตัดสินใจที่ดีที่สุด

16 ภูมิคุ้มกันใจที่คน MEA ต้องมี เพราะเบื้องหลังของทุกชีวิต คือระบบไฟฟ้า

15 บริษัทลูก MEA กางใบเรือ ขยายศักยภาพ รับความเปลี่ยนแปลง

14 จะรอวันนั้น... หรือจะเริ่มวันนี้

13 บทเรียน “น้ำประปาเค็ม” MEA พร้อมหรือยัง เตรียมรับมือ “ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน”

12 COVID-19 “การรับผิดชอบต่อส่วนรวม” มีเดิมพันที่สูงกว่าเดิม

11 ฝ่าปีสุดโหด 2020 เตรียมรับ Trend โลกปี 2021

10 โจ ไบเดน: สุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้ง กับคำพูดที่ชวนให้คน MEA หันมามอง (เป้าหมาย) ตัวเอง

09 ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต

08 ตกผลึกเหตุการณ์โรงเรียนชื่อดัง คน MEA ได้เรียนรู้อะไร

07 ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้... อยู่ที่ว่าใครรับมือได้ดีกว่ากัน บทเรียนล้ำค่าจากระบบ Garmin ล่ม

06 30 ปีแห่งการรอคอย เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล

05 เชื่อหรือไม่? ชีวิตดิจิทัล เริ่มต้นที่ใจ

04 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 2)

03 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 1)

02 รัฐวิสาหกิจมั่นคงจริงหรือ? รวบรวมบทวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้ ถอดบทเรียนจากกรณีการบินไทย

01 MEA เจิดจ้า ท้าชนพี่ ๆ มาสคอตระดับโลก

น้องเทนนิส เหรียญทองแรกของไทย - เจ็บแล้วไม่จบ ล้มแล้วไม่เลิก ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา

  • Print
Details
กระแสออนไลน์
27 July 2021
Hits: 1650

 

น้องเทนนิส เหรียญทองแรกของไทย - เจ็บแล้วไม่จบ ล้มแล้วไม่เลิก ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา

 

เรียกเสียงเฮให้คนทั้งประเทศ เมื่อ “น้องเทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ คว้าเหรียญทองแรกให้กับทัพนักกีฬาไทย ในโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ที่ญี่ปุ่น เป็นเหรียญทองแรกในประวัติศาสตร์ของกีฬาเทควันโดไทย และเป็นเหรียญทองที่ชุบชูหัวใจคนไทย ในยามที่กำลังต่อสู้กับวิกฤต COVID-19 อย่างยากลำบากที่สุด

 

นอกจากเรียกเสียงเฮแล้ว ยังจวนเจียนจะชวนคนไทยหัวใจวาย เมื่อชัยชนะของเธอนั้น ได้มาจากคะแนนใน 7 วินาทีสุดท้าย เรียกว่าพลิกจากแพ้มาเป็นชนะ แบบบีบหัวใจสุด ๆ

 

ทุกคนเฝ้ามองความสำเร็จของเธอในวันนี้ด้วยความยินดี แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ คือ ความล้มเหลวที่เธอต้องผ่าน ประสบการณ์ที่เคยถูกปล้นชัยชนะในวินาทีสุดท้ายของการแข่งขัน แบบเดียวกับที่เธอเพิ่งทำกับคู่แข่ง จากความล้มเหลวในจุดต่ำสุด ที่นักกีฬาหลายคนก้าวผ่านไปไม่ได้ เธอทำอย่างไร ที่จะลุกขึ้นมา จนกลายมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกในวันนี้

 

“กระแส” จะพาคน MEA ไปชื่นชมความสำเร็จของน้องเทนนิส พร้อมกับเรียนรู้ว่าอะไรที่ทำให้เธอเจ็บแล้วไม่จบ ล้มแล้วไม่เลิก บทเรียนจากการฝึกซ้อม และอะไรอีกบ้าง ที่ทำให้เธอสู้ในทุกวินาที ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา

 

ดาวรุ่งไฟแรง ที่พ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บใจ

 

น้องเทนนิสได้รับการยกย่องว่า เป็นนักเทควันโด “อัจฉริยะ” เป็นความหวังที่ใกล้เคียงที่สุดของทัพนักกีฬา ในการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้ได้เสียที หลังจากที่ “โค้ชเช” ได้เข้ามายกระดับวงการ จากที่ไม่เคยมีชื่อบนเวทีโลก สู่การคว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์ แต่ในโอลิมปิก สูงสุดที่เราเคยไปถึง ก็เพียงแค่เหรียญเงินเท่านั้น

 

น้องเทนนิส ติดทีมชาติตั้งแต่อายุ 13 ปี ด้วยระบบ “คู่ซ้อม” ที่โค้ชเชวางระบบไว้ ให้รุ่นพี่เป็น “โค้ช” ให้รุ่นน้อง จากที่เธอเคยไล่เตะเพื่อนรุ่นเดียวกัน ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น กลายเป็นลูกไล่ให้รุ่นพี่ ๆ เตะยับปากแตก เธอเป็นคู่ซ้อมให้กับ “เล็ก ชนาธิป ซ้อนขำ” เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิกที่ลอนดอนเมื่อปี 2012 ทำให้เธอได้บ่มเพาะ ฝึกฝนจากประสบการณ์จริง จนพรสวรรค์ที่ติดตัวรวมเข้ากับฝีมือที่ขัดเกลา ในที่สุดเธอก็ได้เป็นตัวแทนทีมชาติลงแข่งโอลิมปิก ริโอ 2016 ที่วงการเทควันโดทั้งโลก จับตามองว่าเป็นดาวรุ่นที่น่าลุ้นที่สุด

 

และผลงานในสนามเธอก็ทำให้คนทั้งโลกตะลึงได้จริง ๆ ด้วยวัยเพียง 19 ปี เธอผ่านรอบแรก ๆ ด้วยการ “เอ้าต์คลาส” หรือ เหนือชั้น คู่แข่งแบบสบาย ๆ จนมาถึงการเจอกับเต็งหนึ่ง “คิม โซ-ฮุย” แฟนกีฬาหลายคนมองว่าเหมือนเป็นนัดชิงเหรียญทอง

 

น้องเทนนิสเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม และก่อนจบเกม 7 วินาที เหรียญทองอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว เธอกำลังจะชนะด้วยการนำอยู่ 4-2 แต่แค่ 7 วินาทีนี่แหละ ที่เทนนิสพลาดเสียสมาธิเพียงเสี้ยววินาที จึงโดน คิม โซ ฮุย ที่เก๋าเกมกว่า ประสบการณ์มากกว่า ดักเตะเข้าศีรษะ พลิกแซงเป็น 5-4 ก่อนที่จะปิดเกม น้องเทนนิส และคนไทยทั้งประเทศ ช็อกไปตาม ๆ กัน ด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าจะแพ้ในเสี้ยววินาที จากเหรียญทองแค่เอื้อม น้องเทนนิสเหลือเพียงเหรียญทองแดงติดมือกลับบ้าน

 

มีนักกีฬาหลายคน ที่เจอกับความพ่ายแพ้กระทบจิตใจรุนแรงแบบนี้ แล้วกลับมาสู่ฟอร์มที่ดีของตัวเองไม่ได้อีกเลย และด้วยวัยเพียง 19 ปี พายุลูกนี้รุนแรงสำหรับน้องเทนนิสเหลือเกิน

 

น้องเทนนิส เมื่อครั้งพลาดท่า ได้เพียงเหรียญทองแดง จากโอลิมปิกเกมส์ ริโอ 2016

 

เจอกับร่างก๊อบปี้ของตัวเองใน 5 ปีถัดมา

 

ด้วยแผลใจจากการพ่ายแพ้สุดเจ็บปวดแบบนี้ นักกีฬาชั้นนำหลายคนกลับมายืนบนฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเองไม่ได้อีกเลย แต่ไม่ใช่กับน้องเทนนิส

 

เธอพลิกความเจ็บปวดเป็นพลัง แขวนเหรียญทองแดงที่ควรจะเป็นเหรียญทองบนรูปของแม่ที่เสียชีวิต แล้วทุ่มเทพลังกับการซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม ถ้าเธอแพ้เพราะประสบการณ์ รอบหน้าเธอก็จะกลับมาด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าเดิม เธอทุ่มเทอย่างหนัก ผลการแข่งตั้งแต่ปี 2018 น้องเทนนิสไม่เคยแพ้ใครเลย ชนะรวดทุกรายการ จนขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลก ก่อนเข้าแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ที่ญี่ปุ่น จากสถานะดาวรุ่งม้ามืด เมื่อ 5 ปีก่อน มาเป็นเต็งหนึ่งในปีนี้

 

ด้วยความ “เก๋าเกม” ที่มากขึ้น เธอเข้ารอบจนมาถึงนัดชิงชนะเลิศ เจอกับอาเดรียน่า เซเรโซ่ อิเกลเซียส จากสเปน สาวน้อยวัยเพียง 17 ปี ที่ไล่ฟาดรุ่นใหญ่ตกรอบราบคาบ เรียกได้ว่าอาเดรียน่า ถอดแบบดาวรุ่งไฟแรง เหมือนน้องเทนนิสเมื่อ 5 ปีที่แล้วไม่มีผิด

 

การแข่งขันเป็นไปอย่างสูสี น้องเทนนิสออกนำในยกสุดท้าย 9-8 คะแนน แต่แล้วเมื่อเหลือ 30 วินาทีสุดท้าย ภาพเก่าในอดีตก็ย้อนกลับมาอีกครั้งเมื่ออาเดรียน่าพลิกแซงเป็น 10-9 เตรียมปล้นเหรียญทองไปจากน้องเทนนิสอีกครั้ง

 

ความพ่ายแพ้ จะมองเป็นบาดแผลหรือบทเรียน ขึ้นอยู่กับตัวเรา สำหรับเทนนิส อาจเรียกได้ว่าแผลจาก 5 ปีที่แล้ว ทำให้ 30 วินาทีสุดท้ายรอบนี้ เธอนิ่ง และไม่ร้อนรน ด้วยเชื่อในฝีมือตัวเอง ถ้า คิม โซ-ฮุย เคยแซงชนะเธอได้ เธอก็ต้องทำได้เหมือนกัน

 

และในที่สุด เมื่อเหลือ 7 วินาทีสุดท้าย ใกล้เคียงกับ 5 ปีที่แล้วที่เธอโดนแซง คราวนี้เป็นเทนนิส ที่หาช่อง หลอกจะต่อย ก่อนจะฟาดแข้งเข้าลำตัวอาเดรียน่า ได้สองแต้ม แซงเป็น 11-10 ใน 7 วินาทีสุดท้าย!

 

คราวนี้เป็นเทนนิสที่นิ่งพอจะป้องกันตัว เดินถอยปิดเกม จนได้ชัยชนะในที่สุด

 

น้ำตาขณะที่เธอกอดกับโค้ชเช คราวนี้เปลี่ยนจากน้ำตาที่เคยเจ็บปวดที่สุด เป็นน้ำตาแห่งความดีใจเป็นที่สุด

 

 

รุ่นพี่ “โค้ช” รุ่นน้อง เบื้องหลังความสำเร็จ แบบเดียวกับ MEA

 

หนึ่งในปัจจัยที่เป็นเบื้องหลังให้กับความสำเร็จของน้องเทนนิสในครั้งนี้ คงไม่เกินจริงที่จะกล่าวว่าระบบการฝึกซ้อมของโค้ชเช เป็นส่วนสำคัญ

 

นอกจากขึ้นชื่อเรื่องความโหดเฮี้ยบแล้ว การซ้อมที่โค้ชเชวางระบบไว้ คือการให้รุ่นพี่ เป็นคน “โค้ช” รุ่นน้องอีกทางด้วย ไม่ใช่ตัวโค้ชเชเท่านั้นที่เป็นคนฝึกสอน

 

วิธีการแบบนี้ ทำให้น้องเทนนิสได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของรุ่นพี่ ไม่ใช่แค่เรียนตามตำรา ซ้อมตามตาราง การเป็นลูกไล่ให้รุ่นพี่ที่เก๋ากว่าไล่อัด ทำให้รุ่นน้องเรียนรู้ที่จะต้องพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าตัวเองจะเคยแน่ เคยเก่งในรุ่นตัวเองมาแค่ไหน

 

วิธีฝึกเพื่อการพัฒนาแบบนี้ เป็นหลักการเดียวกันกับการบริหาร “ทุนมนุษย์” ของ MEA ซึ่ง MEA ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้แนวคิด 70: 20: 10 ตั้งแต่ปี 2557 เพราะแต่เดิมเคยเน้นการจัดอบรม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% แต่ยิ่งอบรม ยิ่งฝึกมาก ฟีดแบ็กที่ได้รับคือ “พนักงานเข้ารับการอบรมมากเกินไปจนไม่ได้ทำงาน” จึงต้องมาคิดกันใหม่ว่าต้นทุนที่ลงไปกับการจัดหลักสูตรฝึกอบรม มันคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด

 

นำมาสู่การพลิกหลักคิดใหม่ นำทฤษฎี 70: 20: 10 ซึ่งองค์กรชั้นนำของโลก เช่น Google, Standard Chartered, Nike, Coca-Cola, Dell, Oracle ก็ใช้ปฏิบัติอยู่ นั่นคือการที่ 70% เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เป็น On-the-job training หรือทำ project assignment  20% คือการเรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์ เช่น จากการโค้ช จากรุ่นพี่ การมีพี่เลี้ยง และอีก 10% เป็นการเรียนการสอนตามธรรมเนียมปกติ

 

นอกจากนี้ แนวคิด 70: 20: 10 นี้ MEA ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ก็สอดคล้องกับระบบการประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Assessment Module : SE-AM) ที่ประกาศใช้ในปีที่แล้วด้วย ระบบ SE-AM นั้น จะมีตัวชี้วัดประเมินทั้ง 2 ส่วน คือผลการดำเนินงาน และ Core Business Enablers 8 ด้าน ซึ่งหนึ่งในนัน ก็คือด้านที่ 6 การบริหารทุนมนุษย์

 

ซึ่งเมื่อมีการมาถึงของ SE-AM พวกเราก็ยิ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคลากรตามแนวคิดนี้มากขึ้น จะเห็นได้จากการพัฒนานักบริหารและพนักงานระดับ 9-13 ทุกคน ต้องมีการจัดทำแผนพัฒนาส่วนบุคคล ตามรูปแบบ 70: 20: 10  หัวหน้างานจะมีการวางแผนการพัฒนาเพื่อปิด gap ให้กับพนักงาน ซึ่งอยู่ในรูปแบบของโมเดลนี้เช่นเดียวกัน และที่เห็นได้เป็นรูปธรรมน่าจะเป็นโครงการ On-the-job Training กับบุคลากรทางด้านช่าง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรแบบ (Non-Class) ให้มากยิ่งขึ้น ให้ช่างของเราได้ฝึกอบรมจากของจริง จากการทำงานจริง และได้เรียนรู้ โค้ชชิ่งจากประสบการณ์ของรุ่นพี่ ลองไปรับชมบรรยากาศของการอบรมช่างสายในรุ่นปีนี้ได้ที่รายการ “67 วันฉันจะเป็นช่างสายฯ EP.1: น้องใหม่ ไฟแรงเฟร่อ! รุ่นสู้ COVID-19” กันได้เลย คลิก (internet) https://youtu.be/HXexu6vqtoY  หรือ คลิก (intranet) https://bit.ly/2Vdc47y

 

การมีรุ่นพี่ มาโค้ชน้อง ไม่ใช่แค่เพียงน้องได้มีคนดูแลเท่านั้น แต่มันยังเป็นการจัดการองค์ความรู้ หรือที่เรียกว่า Knowledge management (KM) อีกด้วย ความรู้ที่สั่งสมจากประสบการณ์ของรุ่นพี่ หากไม่มีการจัดการ องค์ความรู้ก็จะหายไปกับตัวบุคคลที่ทยอยเกษียณกันออกไป MEA ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะบุคลากรของเรา ยิ่งรุ่นใกล้เกษียณ เปรียบเสมือนเพชรน้ำงาม ที่ผ่านการเจียระไนมาแล้วเกือบ 60 ปี องค์ความรู้ ประสบการณ์เหล่านี้ ไม่สามารถสร้างได้ หากไม่ผ่านกาลเวลา จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจัดการ เพื่อส่งต่อให้รุ่นน้องได้ “เรียนลัด” จากวันเวลาของรุ่นพี่

 

การที่ “โค้ชเช” ได้วางระบบให้ดาวรุ่งอย่างน้องเทนนิส ได้ผ่านการเป็นคู่ซ้อมของรุ่นพี่ อดีตเหรียญเงินอย่าง เล็ก ชนาธิป ก็น่าจะเรียกได้ว่าประสบการณ์ที่ทำให้เธอนิ่งพอจะแซงคู่แข่งได้ใน 7 วินาทีสุดท้ายนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะส่งต่อมาจากรุ่นพี่ก็เป็นได้

 

วันนี้เป็น วันแห่งความสำเร็จ แต่แน่นอนว่า “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ ๆ ย่อมจะขึ้นมาท้าทายรุ่นเก่าอยู่เสมอ หากคน MEA จะเรียนรู้อะไรจากเหรียญทองของน้องเทนนิส เปรียบไปก็เหมือนความท้าทายทางธุรกิจพลังงาน ที่ทุกวันเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็พัฒนาไปเรื่อย ๆ แต่ตราบใดที่เราพัฒนา “ทุนมนุษย์” ของเรา ให้เพิ่มศักยภาพไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด และไม่ยอมแพ้ตราบใดที่ไม่ถึง “วินาทีสุดท้าย”

 

...ชัยชนะย่อมเป็นไปได้เสมอ

 

----------

อ้างอิง :

https://www.facebook.com/jingjungfootball/posts/2850587428489822

https://youtu.be/vDSkK9iOA9I

https://www.matichon.co.th/tokyogames-2020/news_2849171

https://www.google.com/imgres?imgurl=https%3A%2F%2Fupload.wikimedia.org%2Fwikipedia%2Fcommons%2F5%2F5d%2FTaekwondo_at_the_2016_Summer_Olympics_%25E2%2580%2593_Women%2527s_49_kg_awarding_ceremony_7.jpg

 

----------

อ่าน "กระแส" บทความอื่น ๆ

20 น้องเทนนิส เหรียญทองแรกของไทย - เจ็บแล้วไม่จบ ล้มแล้วไม่เลิก ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา

19 ปักต้นกล้า MEAei ขยายกิ่งก้าน เพื่ออนาคตพลังงานที่สะอาดและฉลาด

18 ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว

17 ฉีด – ไม่ฉีด กับการตัดสินใจที่ดีที่สุด

16 ภูมิคุ้มกันใจที่คน MEA ต้องมี เพราะเบื้องหลังของทุกชีวิต คือระบบไฟฟ้า

15 บริษัทลูก MEA กางใบเรือ ขยายศักยภาพ รับความเปลี่ยนแปลง

14 จะรอวันนั้น... หรือจะเริ่มวันนี้

13 บทเรียน “น้ำประปาเค็ม” MEA พร้อมหรือยัง เตรียมรับมือ “ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน”

12 COVID-19 “การรับผิดชอบต่อส่วนรวม” มีเดิมพันที่สูงกว่าเดิม

11 ฝ่าปีสุดโหด 2020 เตรียมรับ Trend โลกปี 2021

10 โจ ไบเดน: สุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้ง กับคำพูดที่ชวนให้คน MEA หันมามอง (เป้าหมาย) ตัวเอง

09 ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต

08 ตกผลึกเหตุการณ์โรงเรียนชื่อดัง คน MEA ได้เรียนรู้อะไร

07 ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้... อยู่ที่ว่าใครรับมือได้ดีกว่ากัน บทเรียนล้ำค่าจากระบบ Garmin ล่ม

06 30 ปีแห่งการรอคอย เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล

05 เชื่อหรือไม่? ชีวิตดิจิทัล เริ่มต้นที่ใจ

04 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 2)

03 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 1)

02 รัฐวิสาหกิจมั่นคงจริงหรือ? รวบรวมบทวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้ ถอดบทเรียนจากกรณีการบินไทย

01 MEA เจิดจ้า ท้าชนพี่ ๆ มาสคอตระดับโลก

ปักต้นกล้า MEAei ขยายกิ่งก้าน เพื่ออนาคตพลังงานที่สะอาดและฉลาด

  • Print
Details
กระแสออนไลน์
23 July 2021
Hits: 4689




บริษัทลูกแห่งแรก ปักต้นกล้า MEA
ei ขยายกิ่งก้าน เพื่ออนาคตพลังงานที่สะอาดและฉลาด

 

เป็นข่าวที่น่ายินดีสำหรับคน MEA เมื่อ 13 ก.ค. ที่ ครม. มีมติเห็นชอบแผนธุรกิจและการจัดตั้งบริษัทในเครือของ MEA ซึ่งตอนนี้ ได้ชื่อแล้วว่า MEAei

 

ด้วยความตั้งใจจะให้บริษัทลูกเติบโตเป็นอีกกิ่งก้านของ MEA ให้บริการเฉพาะด้าน Smart Energy เพื่อให้ผู้ใช้ไฟได้ใช้พลังงานที่ยั่งยืนและสนับสนุนเทคโนโลยีแห่งอนาคต สู้กระแสลมแห่งการ Disruption

 

แต่ความคืบหน้าวันนี้ เสมือนเป็นแค่การเริ่มต้นปักต้นกล้าลงในดิน ยังมีอีกหลายขั้นตอน กว่าต้นไม้นี้จะเติบใหญ่เป็นร่มเงาที่คน MEA ภูมิใจ

 

MEAei จะดำเนินการอะไรบ้าง บริษัทจะยังมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจไหม บริษัทแม่ พนักงาน MEA จะต้องปรับตัวอะไรบ้าง จะมีใคร งานไหน ย้ายไปบ้าง จะแข่งขันกับเอกชนได้จริงไหม... สารพัดคำถามเหล่านี้ วันนี้มาพบคำตอบไปพร้อมกัน กับบทสัมภาษณ์ “พี่แอน” ภัทรา สุวรรณเดช ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ

 

เพื่อให้พวกเราคน MEA ได้รู้บทบาทตัวเองกันว่า จะช่วยกันฟูมฟักดูแลต้นกล้าต้นนี้ให้เติบโตไปเป็นความหวังของพวกเราได้อย่างไรบ้าง

 

 

รู้จัก MEAei : บริษัทลูก เป็นเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ?

 

MEAei จะให้บริการที่ปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง และลงทุนด้านการบริหารจัดการระบบพลังงานอัจฉริยะแบบครบวงจร โดยมีบริการ 2 ด้านหลัก คือ 1. Smart Energy ให้บริการครบวงจรด้านพลังงานอัจฉริยะในพื้นที่ลูกค้า เช่น ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid System) ระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ (District Cooling) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage)  2. Renewable Energy ให้บริการครบวงจรในระบบพลังงานทดแทน เช่น Solar

 

“ชื่อจดทะเบียนที่กระทรวงพาณิชย์ เราใช้ชื่อ MEA Smart Energy solutions มันก็ยาวนะคะ ทางฝ่ายบริหารและพนักงานทำงานร่วมกัน มาตกผลึกที่ชื่อ MEAei ตัว e ก็คือ energy ส่วนตัว i แตกไปได้เยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็น initiative คือ เป็นสิ่งแรก เป็นบริษัทลูกแห่งแรกของเรา เป็น innovation คือนวัตกรรม เป็น inspiration เป็นได้อีกหลายอย่างมาก”  พี่แอน พูดถึงที่มาของชื่อ MEAei

 

 

กระแสพลังงานทางเลือก และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางด้านพลังงาน จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ใน 10 ปีข้างหน้า สำหรับ MEA อาจเป็นคลื่นลมที่เข้ามาสั่นคลอนองค์กร หรือจะมองเป็นโอกาสที่จะกางใบเรือสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต ซึ่งตลาดเฉพาะแค่ Solar เพียงอย่างเดียวก็มีการคาดการณ์จากธนาคารกรุงไทยว่า มูลค่าตลาดจะสูงถึง 137,000 ล้าน

 

แล้วทำไมต้องแยกออกมาเป็นบริษัทลูก คำถามนี้ พี่แอนตอบเราว่ามีเหตุผลสำคัญ 2 ข้อ ด้วยกัน นั่นคือการลดความเสี่ยง และเพิ่มความคล่องตัว

 

ลดความเสี่ยงก็คือ แน่นอนว่าการทำธุรกิจใหม่มีความเสี่ยง การแยกตัวออกมาเป็นบริษัทลูก ก็ทำให้จำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากเปิดธุรกิจแล้ว ไม่ประสบความสำเร็จ ความเสียหายก็จำกัดวงอยู่ในเงินทุนจดทะเบียนที่ลงไปเท่านั้น ไม่กระทบถึงบริษัทแม่ ส่วนการเพิ่มความคล่องตัวนั้น ก็คือการที่มีขนาดเล็กลงและโฟกัสแค่ที่บริการเดียว คือบริการด้าน  Smart Energy ก็จะทำให้ทำอะไรใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น

 

แล้วความคล่องตัวนี้ หมายถึงการออกไปเป็นบริษัทเอกชนเต็มตัวเลยใช่ไหม พี่แอนยืนยันกับเราว่า บริษัทลูก จะยังมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ 100% เพราะ MEA ยังถือหุ้น 100% สถานะก็จึงยังเป็นรัฐวิสาหกิจ 100% แต่ก็จะมีข้อดี ที่สามารถคล่องตัวกว่าในกฎระเบียบบ้างข้อได้ เช่น เรื่องอัตราเงินเดือน ที่อาจจะปรับไปตามแบบเอกชนได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ในระยะแรก กฎระเบียบต่าง ๆ ก็ยังคงตามแบบบริษัทแม่ทั้งหมด แล้วค่อยไปปรับแต่งตามการดำเนินธุรกิจอีกที

 

แนวคิดการตั้งบริษัทลูกนี้ แม้จะเป็นครั้งแรกของ MEA แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่กับเพื่อนบ้านเราในวงการพลังงานงาน EGAT หรือ PEA โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ EGAT ที่ ครม. ก็มีมติผ่านให้ลงทุนในบริษัทลูก ที่เน้นพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานในแบบ Startup

 

 

พนักงาน ต้องย้ายไปอยู่บริษัทลูกไหม?

 

ต้องเข้าใจก่อนว่า ขอบเขตบริการของ MEAei นั้น จะให้บริการด้าน Smart energy เท่านั้น นั่นหมายความว่าไม่ได้กระทบกับงานบริการไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ MEA ให้บริการประชาชนอยู่เป็นปกติ ไม่ได้แปลว่าพวกเราทุกคนจะต้องย้ายไปทำงานที่บริษัทลูก

 

ก็อาจจะมีเนื้องานของบางหน่วยงาน เช่น งานบริหารจัดการพลังงาน ที่บางขอบเขตงานและบางโครงการน่าจะถูกถ่ายโอนไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยุบหน่วยงาน หรือย้ายพนักงานไป เพราะการไปอยู่บริษัทลูกจะเป็นไปในแบบสมัครใจทั้งหมด

 

“ตอนนี้ขั้นตอนหลังจากผ่าน ครม. มาแล้ว ก็คือเรื่องของการจัดตั้ง ซึ่งก็ต้องมีการแต่งตั้งกรรมการบริษัทก่อน ตรงนี้ก็ไม่ใช่ว่าทำได้เลย เราต้องเสนอชื่อไปที่กระทรวงมหาดไทย และก็ต้องตั้งให้ครบ คือ มีตัวแทนครบทุกฝ่าย เช่น กระทรวงการคลัง ตัวแทนจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Director Pool) กรรมการอิสระ เป็นต้น ก่อนจะนำไปสู่การตั้ง MD (Managing Director หรือ กรรมการผู้จัดการ)”

“MD ในยุคบุกเบิกนี่ สำหรับพี่จะเป็นคนสำคัญมาก ที่จะช่วยวางรากฐาน กำหนดกติกาต่าง
ๆ ให้ทำงานต่อไปได้ ต้องย้ำเลยว่า วันนี้ที่บริษัทลูกกำเนิดขึ้นมาได้ ก็ด้วยคนของ MEA มาช่วยกันลงแรง ช่วยกันคิด ช่วยกันทำงาน ทุกวันนี้ยังไม่ได้จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ แต่ก็มาช่วยกันแล้ว และเมื่อจะเริ่มต้น ก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยความชำนาญของคน MEA มาช่วยกัน”

 

การเริ่มต้นสร้างองค์กรใหม่ของ MEAei นั้น พี่แอนได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้เราเห็นภาพ เช่น งานการเงิน งานพัสดุ แน่นอนว่าก็คงต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์จากคนของ MEA ไปเป็นสารตั้งต้น แต่ด้วยความคล่องตัวกว่า ก็จะสามารถเอาประสบการณ์ และอุปสรรคที่เจอ ไปปรับแต่งเป็นขั้นตอนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำได้ยากในโครงสร้างแบบเดิม

 

จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นเพียงต้นกล้าที่เพิ่งเริ่มผลิใบ แต่ MEAei ก็เกิดขึ้นมาได้จากความร่วมแรงกันของคน MEA  ในอนาคต ต้นกล้าต้นนี้จะเติบโตไปเป็นไม้ใหญ่ที่สร้างร่มเงาให้พวกเราได้มากแค่ไหน หรือกระทั่งอาจเป็นไม้ใหญ่ให้เราได้เกาะพิง ในวันที่พายุ Disruption ของวงการพลังงานถาโถม ก็คงขึ้นกับความร่วมใจกันของคน MEA ที่จะช่วยกันรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ดูแลต้นไม้แห่งอนาคตนี้ไปด้วยกัน

 

 ----------

อ้างอิง

 

https://www.thairath.co.th/news/local/2140122

https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/100453-gov-MEA-EGAT-investment-new-business-news.html

https://krungthai.com/Download/economyresources/EconomyResourcesDownload_457Solar_Rooftop_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99_%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AF_31_03_64.pdf

 

----------

อ่าน "กระแส" บทความอื่น ๆ

19 ปักต้นกล้า MEAei ขยายกิ่งก้าน เพื่ออนาคตพลังงานที่สะอาดและฉลาด

18 ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว

17 ฉีด – ไม่ฉีด กับการตัดสินใจที่ดีที่สุด

16 ภูมิคุ้มกันใจที่คน MEA ต้องมี เพราะเบื้องหลังของทุกชีวิต คือระบบไฟฟ้า

15 บริษัทลูก MEA กางใบเรือ ขยายศักยภาพ รับความเปลี่ยนแปลง

14 จะรอวันนั้น... หรือจะเริ่มวันนี้

13 บทเรียน “น้ำประปาเค็ม” MEA พร้อมหรือยัง เตรียมรับมือ “ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน”

12 COVID-19 “การรับผิดชอบต่อส่วนรวม” มีเดิมพันที่สูงกว่าเดิม

11 ฝ่าปีสุดโหด 2020 เตรียมรับ Trend โลกปี 2021

10 โจ ไบเดน: สุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้ง กับคำพูดที่ชวนให้คน MEA หันมามอง (เป้าหมาย) ตัวเอง

09 ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต

08 ตกผลึกเหตุการณ์โรงเรียนชื่อดัง คน MEA ได้เรียนรู้อะไร

07 ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้... อยู่ที่ว่าใครรับมือได้ดีกว่ากัน บทเรียนล้ำค่าจากระบบ Garmin ล่ม

06 30 ปีแห่งการรอคอย เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล

05 เชื่อหรือไม่? ชีวิตดิจิทัล เริ่มต้นที่ใจ

04 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 2)

03 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 1)

02 รัฐวิสาหกิจมั่นคงจริงหรือ? รวบรวมบทวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้ ถอดบทเรียนจากกรณีการบินไทย

01 MEA เจิดจ้า ท้าชนพี่ ๆ มาสคอตระดับโลก

 

 

 

 

ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว

  • Print
Details
กระแสออนไลน์
28 June 2021
Hits: 1914

 

ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว

 

เป็นช่วงเวลาที่แฟนวอลเลย์บอลทีมชาติไทยได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง เมื่อได้เห็น 6 สาว FAB6 อดีตทีมชาติชุดขวัญใจคนไทยกลับมาลงสนาม ในการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ลีก 2021

 

แต่การกลับมาลงเล่นอีกครั้งรอบนี้ ต้องเรียกว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน และเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่ได้ผลดีเกินคาด ด้วยเหตุว่าทีมชาติชุดหลักเกิดติดเชื้อ COVID-19 กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมา จะสละสิทธิ์ก็เสียดายโอกาส สมาคมวอลเลย์บอลจึงตัดสินใจเรียกอดีตทีมชาติชุดนี้ ที่เลิกเล่นไปแล้วให้มาช่วยกู้สถานการณ์ แม้ไม่ได้ซ้อม ไม่ได้เตรียมตัว แต่ทุกคนก็ไม่ลังเลใจเมื่อมีโอกาสได้รับใช้ชาติ

 

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมสาวไทยชุดนี้ได้แสดงให้เราเห็นถึงพลังในการพลิกวิกฤต แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ลุกขึ้นจากความพ่ายแพ้ วันนี้ “กระแส” จะชวนคน MEA ย้อนอดีตกลับไปเห็นบทเรียนแนวคิด “Resilient” ของทีมวอลเลย์บอลสาวไทย จากเหตุการณ์ที่ผิดหวังที่สุดในชีวิต ก่อนจะผงาดกลับคว้าที่ 4 ของโลก โดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 วัน

 

 

จุดกระแสวอลเลย์บอลไทย ก่อนล้มลงด้วยน้ำมือคนอื่น

 

ย้อนไปช่วงปี 2009 กีฬาวอลเลย์บอล จากไม่ได้อยู่ในกระแสนิยมของแฟนกีฬาสักเท่าไร กลับกลายเป็น Talk of the town ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง 7 สาวทีมชาติไทย ขึ้นปกนิตยสารนับจำนวนไม่ไหว ด้วยฝีมือที่เชียร์สนุก ๆ พลิกล็อกคว่ำทีมใหญ่ ๆ เป็นว่าเล่น รวมถึง “พลัง” ด้านบวก ความยิ้มแย้มในสนาม ทำให้พวกเธอชนะใจคนไทยทั้งประเทศ

 

จุดสูงสุดของทีม อยู่ในช่วงปี 2012 ที่ผู้เล่นสะสมประสบการณ์ ความเข้าขาของทีม  เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีมไทยที่มีลุ้นได้ผ่านเข้ารอบไปเล่นในกีฬาโอลิมปิก

 

การแข่งขันรอบคัดเลือกเป็นที่เฝ้ารอของคนไทย นั่งหน้าจอเปิดดูถ่ายทอดสดกันทั้งประเทศ ทีมสาวไทยโชว์ฟอร์มสุดมหัศจรรย์ พลิกล็อกคว่ำเซอร์เบียแบบเหนือความคาดหมาย เก็บชัยชนะต่อเนื่อง และนัดสุดท้ายฮึดสู้ เอาชนะทีมชั้นนำของโลกอย่างคิวบาได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทำให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่เตรียมเข้าเป้า ได้โควตาไปโอลิมปิก

 

"ไทยแข่งคู่แรกตอน 11 โมงเช้า เราก็ดีใจกันแล้ว ผมให้เงินน้อง ๆ ไปซื้อของกินมาเลย เราทุกคนจะมารอดูเกมนัดสุดท้ายเวลา 1 ทุ่ม ที่ญี่ปุ่นจะเจอกับเซอร์เบีย ด้วยความสัตย์จริง ผมว่าไทยเข้ารอบแน่ ในใจคิดไปไกลข้ามช็อตแล้ว ไม่ได้เผื่อใจกับความผิดหวังเลย” โค้ชอ๊อต เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร ให้สัมภาษณ์ถึงวันนั้นที่พาทีมชาติไทยมาจ่อรอได้ตั๋วสู่โอลิมปิก

 

ในการแข่งนัดสุดท้ายคู่เย็น จังหวะนั้นไทยกุมความได้เปรียบมหาศาลที่จะได้เข้ารอบ หากญี่ปุ่นชนะ ทีมไทยก็จะกอดคอกับญี่ปุ่นเข้ารอบไปด้วยกันทันที หรือกระทั่งญี่ปุ่นแพ้ 3-0 หรือ 3-1 เราก็ยังเข้ารอบ กรณีเดียว แค่กรณีเดียวเท่านั้น ถ้าเซอร์เบียชนะด้วยคะแนน 3-2 เซ็ต เราถึงจะตกรอบ ซึ่งตอนนั้นทั้งฟอร์มของญี่ปุ่นที่เหนือกว่า แถมยังเป็นการแข่งขันในบ้านของญี่ปุ่น ดูอย่างไรญี่ปุ่นก็นอนมา 

 

จบ 3 เซ็ตแรก ญี่ปุ่นออกนำ 2-1 แบบสบาย ๆ ถึงตรงนี้ ญี่ปุ่นที่เก็บ 2 เซ็ตได้แล้ว ทำให้เข้ารอบสุดท้ายแน่นอน ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ แต่กับทีมไทย หากเซอร์เบียพลิกกลับมาชนะได้ 3-2 นั้นคือฝันร้าย

 

แต่แล้วเกมของญี่ปุ่นที่เหนือกว่าอยู่ดี ๆ ก็ช็อตไปดื้อ ๆ นักตบญี่ปุ่นพลาดลูกง่าย ๆ เสียในลูกที่ไม่ควรจะเสีย ค้านสายตาแฟนวอลเลย์บอลหลายคนที่รู้สึกว่าญี่ปุ่นปล่อยเกมทิ้ง จนเหตุการณ์ฝันร้ายกลายเป็นจริง เมื่อเซอร์เบียแซงชนะได้จริง ๆ

 

บรรยากาศในห้องพักของทีมวอลเลย์บอลสาวไทยที่ญี่ปุ่นตอนนั้น หม่นหมองเต็มไปด้วยน้ำตา ในวันที่เราเข้าใกล้ความสำเร็จที่สุด แต่แล้วกลับถูกกระชากลงมา โดยไม่ใช่ความผิดของทีมเราเอง

 

"เด็กทุกคนร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ผมอยู่กับเขาทั้งคืน" โค้ชอ๊อตเล่าถึงบรรยากาศในคืนที่เขาจำไม่ลืม สิ่งที่หลายคนไม่เคยได้รู้เลยก็คือ วันนั้น นักกีฬาหลายคนพูดกับโค้ชอ๊อตว่า พอแล้ว อยากขอเลิกเล่นทีมชาติแล้ว

 

นั้นยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้น เพราะทีมชาติไทย ยังมีกำหนดการต้องแข่งในรายการ World GrandPrix ในเวลาอีกแค่ 10 กว่าวันเท่านั้น

 

 

จุดสูงสุด สู่จุดต่ำสุด กระเด้งสุ่จุดสูงสุด... อีกครั้ง

 

เหลือเวลาอีกแค่ 10 กว่าวัน ที่ทีมชาติไทย จะเข้าแข่งขัน World GrandPrix ด้วยสภาพจิตใจที่เหมือนตกเหวตอนนี้ ดูแล้วเป็นงานที่น่าลำบากเหลือเกิน

 

 "จำกันได้ไหม พวกเอ็งเคยเขียนอะไรเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว" ย้อนเวลาไปก่อนหน้านั้น 10 ปี ในวันที่ทั้งทีม ยังไม่มีใครรู้จัก ไม่มีแสงไฟมาส่อง ไม่มีกล้องทีวีมาถ่ายทอด ในค่ายเก็บตัวที่จังหวัดยะลา วันนั้น "โค้ชอ๊อต" ให้เด็ก ๆ ในวันนั้น ที่โตมาเป็นขวัญใจชาวไทยในวันนี้ เขียนว่าทุกคนเป็นใคร "เอ็งมีความฝันอะไรในวันนั้น อยากไปถึงตรงไหน ...จำได้ไหม"

 

โค้ชอ๊อต จุดประกาย ย้อนไปถึงความฝันของทุกคน ปลุกพลังใจว่าอย่าให้ใครมาทำลายความฝันของเรา ขอให้ทุกคนตั้งใจเดินหน้าลงแข่ง World GrandPrix ต่อ

 

"ตีชนะให้หมดทุกทีม แล้วค่อยกลับไปร้องไห้ที่บ้านเรา"

 

นี่คือประโยคปลุกใจจากโค้ชอ๊อตในคืนนั้น และนั้นก็คือสิ่งที่สาวนักตบไทยทำจริง ๆ  พวกเธอลงสนามด้วยหัวใจบอบช้ำ แต่จบการแข่งขันด้วยตำแหน่งที่ 4 ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยไปไกลได้เท่านั้น "เราได้ที่ 4 ตีชนะทุกทีมที่ได้ไปโอลิมปิก แต่เราไม่ได้ไปโอลิมปิก" โค้ชอ๊อตกล่าวเล่าความหลัง

 

พลังใจที่แข็งแกร่ง แม้เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่น่าจะเลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่พวกเธอก็กลับมาสู่จุดสูงสุดได้ ในเวลาอันรวดเร็ว

 

“ไม่มีใครไม่เคยผิดหวัง” พลังใจ รับมือวิกฤตฉบับ MEA

 

พวกเราเรียนรู้อะไรจากบทเรียนของทีมนักวอลเลย์สาวไทยได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการต้องรวมทีมฉุกเฉิน เพราะชุดหลักป่วยจากการติดเชื้อ COVID-19 กระทั่งการลุกจากความผิดหวังที่สุด มาคว้าตำแหน่งสูงสุดในการแข่งขัน สิ่งหนึ่งที่ 7 สาวนี้จะสอนเราได้ก็คือชุดความคิดแบบ “Resilient”

 

Resilient แปลเป็นไทยบ้าน ๆ ว่าความยืดหยุ่น แต่ในหลักคิดการบริหารองค์กรยุคใหม่แล้วนั้น คำคำนี้มีความหมายกว้างกว่านั้นมาก มันหมายถึงการพร้อมรับมือกับปัญหา วิกฤต ความเปลี่ยนแปลง โดยไม่กระทบกระเทือนองค์กร รวมถึงความพร้อมในการปรับเปลี่ยน ปรับตัวเข้ากับโลกที่เปลี่ยนเร็วขึ้นทุกวัน

 

ในยุควิกฤตโรคระบาดนี้ แนวคิด Resilient ยิ่งทวีความสำคัญ และสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่ MEA ของเราได้เตรียมพร้อมไว้ก็มีมากมาย อย่างหนึ่งที่ทุกคนทุกหน่วยงานล้วนคุ้นเคยก็เช่น แผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ Business Continuity Plan ซึ่งขยายผลมาจากแนวคิดการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management : BCM) และนั่นก็เปรียบเหมือน “แผนสำรอง” ของทีมนักกีฬา ให้เราสามารถให้บริการด้านไฟฟ้ากับประชาชนได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด ไม่ว่าจะเกิดเหตุใดก็ตาม

 

แผนที่ว่านี้ มีหลายด้าน และเนื้อหาแต่ละด้านก็แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการโยกกำลังคนข้ามเขตช่วยเหลือกันหากเกิดเหตุฉุกเฉิน การร่วมมือกับ ฟข. ที่ใกล้กัน ยื่นมือมาช่วยเพื่อให้การแก้ไฟฟ้าขัดข้องและการบริการประชาชนไม่ต้องชะงัก แม้แต่ละด้านแต่ละหน่วยงานจะมีแนวทางปฏิบัติต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกแผนมีเหมือนกัน คือ “ความพร้อมที่จะปรับ ความพร้อมที่จะเปลี่ยน ความพร้อมรับอะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามคาดหมาย”

 

การมีแนวคิดแบบ Resillient นั้น ไม่เพียงสำคัญในวันที่มีวิกฤต แต่เป็นแนวคิดที่พวกเราทุกคนควรมีติดตัวไว้เสมอ ความพร้อมในการปรับตัวและรับมือการเปลี่ยนแปลงนั้น นับวันจะยิ่งทวีความสำคัญ ในโลกที่การ disruption เกิดขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านพลังงานพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่าทุกอย่างรอบตัวต้องเปลี่ยนไป

 

“มีความพร้อม” คือปัจจัยแห่งความสำเร็จ เพราะแม้สถานการณ์อาจทำให้เราล้ม แต่เราก็รู้ว่าเราจะล้มให้เจ็บน้อยได้อย่างไร การมีความพร้อมจะทำให้เราเตรียมตัวที่จะลุกให้ได้อย่างรวดเร็ว

 

และหากคน MEA ทุกคน “พร้อม” ปรับ-เปลี่ยน จะอีกกี่ความผิดหวัง จะอีกกี่วิกฤต เราก็จะช่วยกันพยุงลุกขึ้น และก้าวต่อไปด้วยกัน... ด้วยความหวังเต็มหัวใจว่าวันต่อ ๆ ไป จะดีกว่าเมื่อวาน

 

----------

Credit ภาพ : 

https://hilight.kapook.com/view/71819

https://www.facebook.com/watch/?v=359140552228648

 

----------

อ่าน "กระแส" บทความอื่น ๆ

18 ตำนานวอลเลย์บอลหญิงไทย – บทเรียน “Resilient” ล้มให้เจ็บน้อย ลุกให้ว่องไว

17 ฉีด – ไม่ฉีด กับการตัดสินใจที่ดีที่สุด

16 ภูมิคุ้มกันใจที่คน MEA ต้องมี เพราะเบื้องหลังของทุกชีวิต คือระบบไฟฟ้า

15 บริษัทลูก MEA กางใบเรือ ขยายศักยภาพ รับความเปลี่ยนแปลง

14 จะรอวันนั้น... หรือจะเริ่มวันนี้

13 บทเรียน “น้ำประปาเค็ม” MEA พร้อมหรือยัง เตรียมรับมือ “ค่าไฟฟ้าหน้าร้อน”

12 COVID-19 “การรับผิดชอบต่อส่วนรวม” มีเดิมพันที่สูงกว่าเดิม

11 ฝ่าปีสุดโหด 2020 เตรียมรับ Trend โลกปี 2021

10 โจ ไบเดน: สุนทรพจน์หลังชนะเลือกตั้ง กับคำพูดที่ชวนให้คน MEA หันมามอง (เป้าหมาย) ตัวเอง

09 ถอดบทเรียนท่อก๊าซระเบิด - ความไวคือหัวใจ ให้ได้ใจในวิกฤต

08 ตกผลึกเหตุการณ์โรงเรียนชื่อดัง คน MEA ได้เรียนรู้อะไร

07 ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้... อยู่ที่ว่าใครรับมือได้ดีกว่ากัน บทเรียนล้ำค่าจากระบบ Garmin ล่ม

06 30 ปีแห่งการรอคอย เราควรเรียนรู้อะไร จากแชมป์ของลิเวอร์พูล

05 เชื่อหรือไม่? ชีวิตดิจิทัล เริ่มต้นที่ใจ

04 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 2)

03 จัดทัพสู้! เรียนรู้จากสิ่งที่พลาด ถอดบทเรียนกรณีการบินไทย (ตอนที่ 1)

02 รัฐวิสาหกิจมั่นคงจริงหรือ? รวบรวมบทวิเคราะห์เพื่อการเรียนรู้ ถอดบทเรียนจากกรณีการบินไทย

01 MEA เจิดจ้า ท้าชนพี่ ๆ มาสคอตระดับโลก

 

 

Page 2 of 6

  • Start
  • Prev
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
  • 6
  • Next
  • End